วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We wil remember you!!! (4)

ฤดูกาล 2011-12    ฤดูแห่งแชมป์ลีกคัพสมัยที่8ของสโมสร

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดแรกที่แอนฟีลด์เจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1[12] ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ถึง เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0[13] ต่อมา ในลีกคัพ รอบ 2 ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ Exeter City 3-1 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวันเดอเรอส์ 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 2-0 ต่อมา ในลีกคัพ รอบ 4 ซัวเรซ ก็ทำ 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี 2-1[14] ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ 1-0 หลังจากนั้น ซัวเรซ ก็โดนแบน 8 นัด และถูกปรับเงิน 40,000 ปอนด์ (1.8 ล้านบาท) จากการเหยียดผิว ปาทริส เอวรา แบ็กซ้ายของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ซัวเรซ ก็ถูกแบน 1 นัดจากการไปแสดงสัญลักษณ์หยาบคายใส่แฟนบอล ฟูลัม

ซัวเรซ ดวลกับ ซิลแว็ง ดิสแต็ง กองหลังของ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ในเดือนมีนาคม 2012
ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง ในนัดที่เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ หลังจากที่ ซัวเรซ โดนแบน 8 นัด ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึก แดงเดือด บุกไปเยือนที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ก่อนเริ่มการแข่งขัน ซัวเรซ ไม่ยอมจับมือกับ ปาทริส เอวรา เนื่องจากคดีเหยียดผิว ทำให้ ซัวเรซ โดนแบน 8 นัด ในนัดนี้ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีไข่แตกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มาเป็น 1-2 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบ 5 ซัวเรซ ก็ทำประตูปิดท้ายให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ Brighton & Hove Albion 6-1 ต่อมา ในลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่สนามนิวเวมบลีย์ ซัวเรซ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 มาครอง จากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2 และเป็นแชมป์แรกของ ซัวเรซ นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล[15] ต่อมา ในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ เปิดรังแอนฟีลด์เจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง ถึงแม้ว่า ซัวเรซ จะไม่ได้ทำประตูแต่ก็จ่ายบอลให้กัปตันทีม สตีเวน เจอร์ราร์ด ทำแฮตทริก ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-0[16] ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบ 6 ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ สโตกซิตี 2-1 ต่อมา ซัวเรซ ก็ยิงประตูตีเสมอ วีแกนแอธเลติก 1-1 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ซัวเรซ ก็ยิงประตูตีเสมอ แอสตันวิลลา 1-1 ในช่วงท้าย ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง ที่สนามนิวเวมบลีย์ โดยครึ่งแรก เอฟเวอร์ตัน ขึ้นนำก่อน 1-0แต่ในครึ่งหลัง ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 ก่อนที่ แอนดี แคร์โรล จะโหม่งทำประตูชัยในนาที 87 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-1 และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่บุกเอาชนะ นอริชซิตี ถึง แคร์โรว์โรด 3-0 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามนิวเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์เอฟเอคัพ อย่างน่าเสียดาย ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ลงเล่นที่แอนฟิลด์นัดสุดท้ายเจอกับ เชลซี อีกครั้ง ในพรีเมียร์ลีก สุดท้าย ซัวเรซ ก็พา ลิเวอร์พูล ล้างแค้น เชลซี ได้สำเร็จ 4-1[17] จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 11 ประตูจาก 31 นัด โดย ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกคัพ แต่จบอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี สุดท้าย เคนนี ดัลกลิช ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสวอนซีซิตี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ต่อมา ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ลุยส์ ซัวเรซ ได้ตัดสินใจต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล เป็นที่เรียบร้อย เป็นที่คาดการณ์กันว่าจะช่วยการันตีให้เขาค้าแข้งอยู่ที่แอนฟิลด์ต่อไปอย่าง น้อย ๆ 3 ปี โดยรับค่าเหนื่อยเทียบเท่า สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Louis Suarez/We will remember you!!!!(3)

เหยียบแอนฟิลด์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์2011
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ ลุยส์ ซัวเรซ(ในขณะที่กำลังติดโทษแบนยาวกรณีไปกัดออตมัน บักกัลในทีมพีเอสวี ไอลด์โฮลเฟ่นในลีกฮอลแลนด์) เข้ามาในถิ่นแอนฟีลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ ลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดย ซัวเรซ ได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล 2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้ ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ ซัวเรซ เป็นตำนานของลิเวอร์พูลต่อจากเขาต่อไป(ซึ่งก็กลายเป็นจริง เป็นกองหน้าที่ถือว่า ประสบความสำเร็จ) นัดแรกที่ ซัวเรซ ได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟีลด์คือการเจอกับ สโตกซิตี โดยซัวเรซทำไป 1 ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พู ล ได้ทันที เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง[11] และในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟีลด์ตอนรับการมาเยือนของคู่อริ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงแม้ในวันนั้น ซัวเรซ จะไม่ได้ทำประตูแต่ก็ช่วยจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไป 3-1 ซัวเรซ ได้จ่ายไป 2 ลูก โดยการทำแฮตทริก ของ เดิร์ค เคาท์ (เป็นช่วงปลายๆของเค้าท์ก่อนจะอำลาทีมไป) ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในเกมนั้นยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำ เกมให้กับเขาเลยทีเดียว จากนั้น ซัวเรซ ก็ยิงได้อีก 3 ประตู ในนัดที่ ชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-0, ชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 3-0 และชนะ ฟูลัม 5-2 ทำให้ ซัวเรซ ทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 นัด และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึงบรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล/Louise Suarez/I will remember you!!!(1)

ลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ (สเปนLuis Alberto Suárez Díaz) เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ตำแหน่งที่เขาเล่นคือ กองหน้า
ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่กรุงมอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมา ในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีโอนัลในกรุงมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรซเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 นัด ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้อายักซ์ อัมสเตอร์ดัมครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ไกรฟฟ์มาร์โก ฟัน บัสเติน และแด็นนิส แบร์คกัมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซ ไปกัดที่ไหล่ของนักเตะเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน ออตมัน บักกัล และถูกแบน 7 นัด[1] ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร (เหมือนกับในสถานการณ์ตอนนี้เลย ที่ถูกสโมสรยักษ์ใหญ๋อย่างบาร์เซโลน่าซื้อตัวไประหว่างโดนโทษแบนจากการกรณีไปกัดที่ไหล่ของจอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี ในนัดตัดสินการเข้ารอบ16ทีมสุดท้ายWorld cup2014ที่บราซิลระหว่างอุรุกวัยและอิตาลี)นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล[2] และในฤดูกาลต่อมา เขาก็พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 ไปครอง อีกด้วย
          และในฤดูกาลล่าสุด(2013-14) เขาก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ลิเวอร์พูลจบซีซั่นด้วยอันดับ2ของตาราง (ห่างจากแชมป์แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปเพียง2แต้มเท่านั้นเอง)โดยเขายังครองสถิติเป็นดาวซัลโวของลีกอีกด้วย และยังได้รับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของอังกฤษหรือรางวัลPFAอีกด้วย นับว่าปีนี้คือปีที่พีคสูงสุดของดาวยิงอุรุกวัยคนนี้เลยก็ว่าได้
       และที่สำคัญ ทำให้ลิเวอร์พูลกลับไปเล่นในยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกได้อีกีครั้ง หลังจากห่างหายไปหลายฤดูกาล ก่อนที่เขาจะย้ายไปบาร์เซโลน่า ในฤดูกาลถัดมา!!!!!
      (ลองคิดดูดีๆ การจากไปครั้งนี้ของหลุยส์ ก็ดูไม่น่าเกลียดนัก และเขาไม่ได้ปล่อยลิเวอร์พูลไปแบบทิ้งๆขว้างๆอีกด้วย คล้ายๆเหมือนปล่อยลูกที่โตแล้วให้ออกไปเที่ยวภายนอกได้นั่นแหล่ะ และในทางกลับกันลิเวอร์พูลก็มองเขาเหมือนลูกเช่นกัน ที่ปล่อยตัวไปให้ยักษ์ใหญ่อย่าง ทีมต่างดาว บาร์เซโลน่าในลาลีก้าเพื่อให้เขาได้หาประสบการณ์)
        
ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรซได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่งบอลโลก ยู 20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลอมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซ มีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า[3] จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรซนำทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ ซัวเรซได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟีนา[

สโมสร[แก้]

ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2014.
สโมสรฤดูกาลลีกฟุตบอลถ้วยลีกคัพยุโรปอื่น ๆรวม
ลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตู
นาซีโอนัล[8][34][b]2005–062710000030423412
รวม2710000030423412
โครนิงเงิน[b]2006–072910210021433715
รวม2910210021433715
อาเอฟเซ อายักซ์[b]2007–083317320041424222
2008–0931222100105004328
2009–103335680096004849
2010–11137110094102412
รวม11081121200321652159111
ลิเวอร์พูล[b]2010–1113400000000134
2011–123111434300003917
2012–133323221184004430
2013–143331301000003731
รวม110699564840013382
รวมทั้งหมด2761702318644521137363220


ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Louise Suares/We will remember you!!! (2)

ก่อนจะมาเป็นตำนาน นาซีโอนัลลุยส์ ซัวเรซ เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซีโอนัล ทีมที่เหยินเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14[5] คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล[5] [6] ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ[5] เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005[7] และช่วยนาซีโอนัลเป็นแชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม [8] โครนิงเงิน ซัวเรซ สมัยอยู่กับ โครนิงเงิน ในปี 2006 ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้น ซัวเรซ สร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม[9] หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นสัญญาซื้อ ซัวเรซ [9]หลังจบฤดูกาลนั้น สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร[5] ซัวเรซ อยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น[10]
 อาเอฟเซ อายักซ์ ซัวเรซ กับ สโมสรฟุตบอลอาเอฟเซ อายักซ์ ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซ ได้เซ็นสัญญากับ อาเอฟเซ อายักซ์ เอาไว้ 4 ปี ด้วยค่าตัว 7.5 ล้านยูโร ในฤดูกาล 2007-08 ซัวเรซ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด โดยเขาทำผลงานในฤดูกาลแรกได้ยอดเยี่ยมโดยทำไป 22 ประตูจากการเล่น 44 นัด รวมทุกรายการ ในฤดูกาล 2008-09 ซัวเรซ ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และได้เป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาล 2009-10 เขายังได้เป็นกัปตันทีมของ อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม แทน โธมัส แฟร์มาเลน ที่ย้ายไปอยู่กับ อาร์เซนอล โดย ซัวเรซ ทำได้ 35 ประตู จาก 33 นัด ในลีก และพาทีมคว้าแชมป์เคเอ็นวีบี คัพ รวมทั้งได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ยิงให้สโมสรอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ในนัดที่เปิดบ้านเสมอกับ พีเอโอเค ซาโลนิกี้ 1-1 ใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก และนำทีมอายักซ์ คว้าแชมป์เอเรดิวีซี่ ของลีกสูงสุดในประเทศ เนเธอร์แลนด์ แต่ ซัวเรซ ก็โดนแบน 7 นัด จากการที่เขาไปกัดไหล่ของ ออสมาน แบคคาล กองกลางของ เปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน รวมถึงถูกต้นสังกัดสั่งลงโทษแบน 2 นัดและสั่งปรับเงินโดยที่ไม่เปิดเผยจำนวน ก่อนที่จะย้ายไปสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลของ พรีเมียร์ลีก ที่ประเทศอังกฤษ ในปลายฤดูกาล 2010-2011 ด้วยค่าตัว 22.8 ล้านปอนด์ (1,026 ล้านบาท)