วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/มาร์ค วิลม็อต/ยอดกองกลางแห่งปีศาจแดงยุโรป

ชื่อ
มาร์ค
นามสกุล
วิลม็อทส์
สัญชาติ
เบลเยียม
วันเกิด
22-02-69
อายุ
45
ประเทศที่เกิด                    
เบลเยียม
สถานที่เกิด
Dongelberg
ตำแหน่ง
กองกลาง
ส่วนสูง
183 cm
น้ำหนัก
89 kg
 มาร์ค วิลม็อตส์ เกิดเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 1969 อายุ45ปี ที่ดอนเกนเบรก์ เบลเยียม อดีตดาวเตะผู้ติดทีมชาติเบลเยียมกว่า70นัดผู้นี้ โดยเริ่มต้น การคุมทีมในปี2004 กับชาลเก้ก่อนย้ายมาคุม แซงค์ ทรุยด็อง และมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมชาติเบลเยียมในปี2009 ก่อนขึ้นมาคุมอย่างเต็มตัวในปี2012
เคยเป็นนักเตะของชาลเก้ในบุนเดสลิก้า ก่อนที่จะผันตัวเองมาคุมทีม  โด่งดังในทีมชาติเบลเยี่ยมยุค90

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/สเตฟาน ชาปุยส์ซา/ยอดกองหน้าแห่งทีมนาฬิกา

อดีตจอมถล่มประตูทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ย้ายมาร่วมทัพ “เสือเหลือง” ดอร์ทมุนด์ ในปี 1991 ก่อนจะค้าแข้งในถิ่น เวสต์ฟาเล่น สตาดิโอน ถึง 8 ฤดูกาล แค่ฤดูกาลแรกเจ้าตัวก็เกือบคว้าตำแหน่งดาวซัลโว บุนเดสลีกา ไปครองได้แล้ว น่าเสียดายที่ดาวยิงจากแดนนาฬิกายิงน้อยกว่า ฟริตซ์ วอลเตอร์ ของ เฟาเอฟเบ สตุ๊ตการ์ต แชมป์ บุนเดสลีกา ฤดูกาลนั้นไปเพียง 2 ประตู แต่เมื่อรวมเบ็ดเสร็จแล้ว ชาปุยซาต์ ทำประตูในสีเสื้อของ ดอร์ทมุนด์ ไปถึง 102 ประตูจาก 218 เกม โดยที่ประตูที่ทำได้ทั้งหมดมาจากการยิงจุดโทษแค่ 2 ประตูเท่านั้น เฉลี่ยแล้ว ชาปุยซาต์ ทำประตูได้ 0.47 ประตูต่อเกม รั้งอันดับ 4 ของตารางดาวซัลโวตลอดกาลของ “ชวาร์ซ-เกลเบ้น” ประตูของเขามีส่วนให้ ดอร์ทมุนด์ กวาดแชมป์มาได้ 7 รายการ ได้แก่ บุนเดสลีกา 2 สมัย, เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ 2 สมัย, ยูเอฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ 1 สมัย และรองแชมป์ ยูเอฟ่า คัพ ปี 92-93 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอล “เสือเหลือง” จะรักจอมถล่มประตูคนนี้มากๆ
ติด1/50คน การซื้อตัวที่สูงสุดในบุนเดสลิกา(ที่ติดๆก็จะมีเช่น มาร์โค ร็อยส์ โจวานนี่ เอลแบร์ เควิน คีแกน เป็นต้น)
ชาปุยส์ซา แขวนสตั๊ดหลังจบบอลโลกปี1994 รุ่งเรื่องมากในสมัยอยู่กับ "เสือเหลือง"ในช่วงฤดูกาล1996-97

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/เจย์ เจย์ โอโคชา/โรนัลดินโญ่แห่งอินทรีมรกต

ทักษะอันครบเครื่อง เทคนิคเกินขาด คล่องแคล่วว่องไว เซนต์ฟุตบอลที่เหลือเชื่อ สิ่งเหล่านี้ ล้วนอยู่ในตัวของชายที่ชื่อ เจย์ เจย์ โอโคชา มิดฟิลด์ระดับตำนานแห่ง ดินแดนมรกต ไนจีเรีย

เริ่มต้นค้าแข้งอย่างเป็นทางการในลีก เยอรมัน


   ออกุสติน โอโคชา เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 1973 ที่อีนูกู ประเทศไนจีเรีย ทางแถบแอฟริกัน เริ่มเล่นให้กับทีมของเยอรมัน โบรุสเชีย เนินเคอเชน หลังจากนั้นย้ายสู่ ไอแทรก แฟร้งเฟิร์ส ตามลำดับ
โอโคชามีความคล่องตัว ความเร็วที่เหลือร้าย หลังจากย้ายไปเล่นในดินแดนตุรกี ให้กับ สโมสร เฟเนบาเช่ และสร้างฟอร์มการเล่นที่สุดยอดจนเป็นที่จับตาของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่หลายๆ ทีม


ตัวเล็ก ลีลาร้าย สำหรับ ออกุสติน
 และแล้ว ก็เป็นสโมสรจากเมืองปารีส เปแอสเช ปารีสแซงค์แชร์แมง ที่ทำสถิติ การย้ายตัวของนักเตะแอฟริกันสูงสุด ณ ตอนนั้น โดยการดึง โอโคชาเข้าสู่ทีม




หลังจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น โอโคชา ถูกปล่อยตัวฟรีจากปารีสแซงแชงแมง หลังอยู่กับทีม มา 4 ฤดูกาล เพื่อเข้าสู่ทีม โบลตันวันเดอเรอร์ ในลีกของอังกฤษ และ กลายเป็นขวัญใจของเดอะทร็อตเตอร์ในที่สุด



ชีวิตบั้นปลายการค้าแข้ง โอโคชาเลือกหาประสบการณ์อันแปลกใหม่ ที่ กาตาร์ เอสซี และ สโมสรสุดท้ายคือ ฮัลล์ ซิตี้ ก่อนประกาศเลิกเล่นฟุตบอลในที่สุด


กาตาร์เอสซี และ จบสุดท้ายที่ ฮัลล์ซิตี้ ยุติ 454 เกมส์ตลอดชีวิตการค้าแข้ง
แฟนบอลพรีเมียร์ต่างรู้จักเขาดี หลังช่วยโบลตันในการต่อสู้บนเวทีพรีเมียร์ลีก 
ในนามทีมชาติ โอโคชา รับบทบาทเป็นจอมทัพให้กับทีม อินทรีย์มรกตไนจีเรียมาโดยตลอด โดยสวมเสื้อหมายเลข 10 รับบทสวมปลอกแขนกัปตันทีม และ มีความเป็นผู้นำอย่างสูง โดยลงสนามให้ทีมชาติ 75 นัดทำได้ 14 ประตู  โดยสามารถพาทีมไนจีเรีย เข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก ได้ 2 สมัยนั่นคือในปี 1994 และ ฟร็องส์ 98 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ
เจย์ เจย์ โอโคชา ถูกรับเลือกจากเปเล่ตำนานนักเตะบราซิลชื่อดังในอดีตให้ติด1ใน100คน นักเตะในตำนานด้วย หรือที่เรียกกันว่า ฟีฟ่า100
     หากเรานึกถึงชื่อโอโคชา เราคงต้องนึกถึง ลีลาการเล่นฟุตบอลอันสวยงาม และ ทักษะอันเหลือร้าย น่าเสียดายเหลือเกิน ที่ปัจจุบัน จะหาใครที่เล่นฟุตบอลได้ เอนเตอร์เทน คนดู ไปมากกว่าเขา  โดยไม่หวังผลการแข่งขัน  จะหาได้ไหมหนอ ...


วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/เปาโล วันโชเป้/กองหน้าแห่งกล้วยหอม

 
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเอ่ยชื่อแข้งกล้วยหอมที่ดังที่สุด ชื่อที่แฟนบอลส่วนใหญ่นึกออกย่อมหนีไม่พ้น เปาโล วันโชเป้ ดาวยิงก้านยาวจอมพเนจร ตลอดระยะเวลาค้าแข้งของเขา เขาลงให้ทั้งหมด 10 สโมสร ซึ่งสโมสรแรกที่เขาเริ่มเล่นนั้น คือสโมสร เฮียดิอาโน่ จากคอสตาริกาพรีเมียร์ลีก สืบจากประวัติไม่พบว่า เขาลงให้ทีมอยู่กี่นัด แต่ยิงได้ทั้งหมด 20 ประตู เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจนกระทั่งทีมเล็กๆในเกาะอังกฤษอย่างดาร์บี้ เคาน์ตี้ ซื้อตัวเขาไปร่วมทีม ที่เขาเคยโซโล่เดี่ยวเข้าไปซัดแสกหน้า ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล มาแล้วในเกมดาร์บี้แมตช์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
        เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ตืออีกทีมที่เห็นศักยภาพของเขา และซื้อเขาไปร่วมทีมในราคา 3.5 ล้านปอนด์ แต่ทำผลงานได้ไม่ดีนัก จนกระทั่งถูกขายให้กับกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
        กับทีม"เรือใบสีฟ้า" เขาสามารถระเบิดฟอร์มกระฉูดออกมาได้ ยิงไป 12 ประตูจาก 15 นัด แต่หลังจากนั้น เขามีอาการบาดเจ็บ ทำให้ลงสนามได้น้อยลง
จากนั้นในปี 2004 วันโชเป้ ย้ายไปเล่นที่ต่างแดนในลา ลีกา สเปน กับ มาลาก้า แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก จนมีข่าวว่า บางสโมสรในลีกผู้ดี สนใจดึงเขากลับมาวาดลวดลายในถิ่นสร้างชื่ออีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีความคืบหน้า และ วันโชเป้ ย้ายไปขุดทองที่ลีกตะวันออกกลางใน กาตาร์ กับทีม อัล การาฟา ในที่สุด อย่างไรก็ดี แม้ไม่ประสบความสำเร็จที่ สเปน แต่ลูกยิงสุดเหนือชั้นในเกมกับ นูมานเซีย ได้รับการโหวตให้เป็นประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2004-05 ของ สเปน โดย อีเอสพีเอ็น
ส่วนผลงานกับทีมชาติคอสตาริกา วันโชเป้ ถือเป็นสตาร์ประจำทีม อยู่ในทีมชุดลุยบอลโลก 2002 ที่ เกาหลีใต้ / ญี่ปุ่น รวมถึงช่วยทีมในทัวร์นาเมนต์อย่าง โกลด์ คัพ หลายสมัย ขณะเดียวกัน เกมเจอ อเมริกา วันที่ 8 ตุลาคม 2005 มีความหมายส่วนตัวสำหรับ วันโชเป้ วัย 29 ปี เพราะประตูที่ทำได้ในเกมเอาชนะ อเมริกา 3-0 นั้น ทำให้เขากลายเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติ ด้วยผลงาน 43 ลูก จาก 67 เกม
                            

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/มิเชล พลาตินี่/,มิดฟิลด์ในตำนานแห่งแดนน้ำหอม

มิเชล พลาตินี่ “นโปเลียนลูกหนัง”
มิเชล พลาตินี (ยุค 1973-1987)
มิเชล พลาตินี (Michel Platini) หากเอ่ยถึงชื่อนี้เชื่อว่าคงไม่มีแฟนลูกหนังคนไหนไม่รู้จัก เนื่องจากปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า “ยูฟา” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อวงการฟุตบอลจริง ๆ แต่ใครจะรู้ว่ากว่าที่พลาตินีจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนี้ เขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง
พลาตินีเป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เริ่มอาชีพค้าแข้งอย่างเป็นทางการกับทีมนองซ์ ในปี 1972 ก่อนจะได้ติดธงตราไก่ครั้งแรกในปี 1976 ซึ่งสมัยที่เป็นนักฟุตบอล พลาตินีอยู่ในชุดที่พาฝรั่งเศสผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศศึกฟุตบอลโลกถึง 2 สมัย และยังช่วยให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรมาครองในปี 1984
ส่วนระดับสโมรสร หลังพลาตินีย้ายจากทีมนองซ์ไปร่วมทีมแซงต์ เอเตียน ในปี 1979 และค้าแข้งที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี เขาก็ได้ย้ายไปร่วมงานกับทีม “ม้าลาย” จูเวนตุส ในศึกกัลโช ซีรีเอ อิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาประสบความสำเร็จมาก ด้วยการพาจูเวนตุสคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ และอินเตอร์คอนทิเนนทอล คัพ พร้อมกันในปี 1985 เคยยิงประตูให้จูเวนตุส 68 ประตู จากการลงเล่น 147 นัดในเกมลีก ยิ่งไปกว่านั้นพลาตินียังได้รับยกย่องว่าเป็นนักฟุตบอลที่มีเทคนิคในการส่ง ลูกยอดเยี่ยมที่สุด รวมทั้งการเตะฟรีคิก
มิเชล พลาตินี่ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสผู้ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นบุคคลระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้ว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะมิดฟิลด์ที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในโลกของ ยุคเดียวกัน
พลาตินี่ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ นองซี่-ลอร์เรน ก่อนจะย้ายสู่ทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง แซงต์ เอเตียง ที่ซึ่งมาประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ ลีก สูงสุดเมื่อปี 1981
ปี 1982 ก้าวใหม่ของชีวิตที่ท้าทายกว่าเดิมเริ่มมาถึงเมื่อได้ย้ายไปหาประสบการณ์กับ สโมสรในอิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรชั้นนำอย่าง ยูเวนตุส แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อจากการลงเล่น 147 เกม พลาตินี่ กระทุ้งประตูไป 68 ตุง ซึ่งจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ถือว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา
ไม่เท่านั้น พ่อมดแห่งวงการลูกหนังรายนี้ยังนำโด่งเป็นดาวซัลโวของ เซเรีย อา ถึง 3 สมัยซ้อน พลาตินี่ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งให้ม้าลายแห่งตูริน สคูเด็ตโต้,แชมป์ อิตาเลียน คัพ,ยูโรเปี้ยน คัพ และ คัพ วินเนอร์สคัพ
พลาตินี่ ได้รับมอบหมายเป็นกัปตันทีมชาติ ?ตราไก่? ฝรั่งเศส ลุยศึก ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนคัพ เมื่อปี 1984 และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยตำแหน่งดาวซัลโวด้วยที่ 9 ประตู    

นอกจากจี๊ดจ๊าดในตำแหน่งมิดฟิลด์แล้วการผ่านบอล ป้อนบอลของ พลาตินี่ ยังได้รับการยอมรับว่าเยี่ยมยอดอีกด้วย รวมถึงการยิงประตูที่หาได้ไม่มากนักจากนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ แล้วเป็นดาวยิงแบบนี้
เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานนักเตะอังกฤษ ได้กล่าวถึง พลาตินี่ ไว้ว่า ?เขาจบสกอร์ได้คมมากๆแม้จะมีช่องอยู่นิดเดียวเท่ารูเข็มก็ตาม?
ในด้านการปั่นฟรีคิก ถ้าให้เทียบกับสมัยนี้ เดวิด เบ็คแฮม ยังอายเลยทีเดียว พลาตินี่ สามารถปั่นบอลให้โค้งหนีกำแพงและหนีมือผู้รักษาประตูได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งการซ้อมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษใช้หุ่นตั้งเป็นแถวเหมือนกับที่คนอื่นทำกัน
หลายท่านคงเคยได้ยินชื่อเสียงและคงจดจำความคลาสิกของทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์ยูโร 84 และฟุตบอลโลกปี 86 ได้เป็นอย่างดี และหนึ่งนักเตะในตำนานชุดนั้นต้องเป็นใครไม่ได้ นอกจาก “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ จอมทัพคนเก่งของทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นยอดนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกและของฝรั่งเศส และได้ฝากผลงานทั้งในระดับชาติและสโมสรมามากมาย
พลาตินี่เป็นชาวเมืองโลธริงเก้น เกิดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.1955 ตั้งแต่เด็กพลาตินี่ชื่นชอบในกลิ่นสาบลูกหนังมาตลอด และได้ลงเล่นให้สโมสรท้องถิ่น ในช่วงปี 1966-1972 และที่นี่ เขาได้พื้นฐานสำคัญในความสามารถยอดเยี่ยมของเขาในการเตะลูกฟรีคิก
การเล่นลูกนิ่งของพลาตินี่ เป็นความสามารถที่จะหาผู้ใดมาหลอกเลียนแบบได้ และยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าในการเล่นได้อีกทำให้เขากลายเป็นอัจฉิยะแห่งวง การฟุตบอลไปเลย และวันที่ 2 พ.ค. 1973 ด้วยวัยเพียง 17 ปี พลาตินี่ สามารถลงเตะในทีมชุดใหญ่ของสโมสรน็องซี่ เป็นครั้งแรก และย้ายไปอยุ่กับแซงเอเตียน ก่อนจะย้ายไปโด่งดังสุดขีดกับทีม ม้าลาย ยูเวนตุส จากอิตาลี ในปี 1982 และสามารถคว้าแชมป์ต่างๆได้มากมาย
ส่วนการเล่นในระดับชาตินั้น พลาตินี่ติดทีมชาติครั้งแรก เมื่อปี 1976 ในการลงเตะกับทีมชาติเชกโกสโลวาเกีย(ทีมชาติเชกในปัจจุบัน) และติดทีมชาติไปเล่นบอลโลกปี 1978 ที่อาร์เจนติน่า แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว ในฟุตบอลโลก ปี 1982ที่ประเทศสเปน พลาตินี่ ยังคงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม พาทีมชาติฝรั่งเศส เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ดวลแข้งกับทีมชาติเยอรมันตะวันตก ฝรั่งเศสนำก่อน 3-1 แต่ก็ถูกทีมอินทรีเหล็กตีเสมอ และดวลจุดโทษพ่ายไปในอย่างเจ็บปวดที่สุด
แต่ในอีกสองปีต่อมา พลาตินี่ นำทัพฝรั่งเศส ลงทำศึกฟุตบอลยูโร 84 ที่ ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ คราวนี้ทีมของพลาตินี่ ประสบความสำเร็จสูงสุด โดยการคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการชนะทีมชาติสเปน ไปอย่างสบายๆ 2-0 และพลาตินี่ ยังสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการเป็นดาวซัลโว ประจำทัวร์นาเมนต์นี้ ด้วยจำนวนประตู ถึง 9 ลูกด้วยกัน และหลังจากนั้น ทีมชาติฝรั่งเศส ก็ยังเป็นตัวเต็ง ต้นๆในฟุตบอลโลกปี 86 ที่ประเทศเม็กซิโก ผลงานในครั้งนี้ฝรั่งเศสเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ม โดยเฉพาะนัดเจอ กับแซมบ้า บราซิลในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ถือว่าเป็นแมตช์คลาสสิกอีกนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ซึ่งทั้งสองทีมเล่นกันด้วยเกมรุกเต็มรูปแบบแม้ว่าบราซิลจะนำก่อน แต่พลาตินี่ ก็เป็นผู้ตีเสมอ ให้กับทีม ก่อนจะดวลจุดโทษชนะไปอย่างสุดมันส์ แม้ในท้ายที่สุดฝรั่งเศสจะไปได้แค่รอบรองชนะเลิศ แต่การเล่นอันยอดเยี่ยมของพลาตินี่และทีมชาติฝรั่งเศส ยังติดตาแฟนบอลทั่วโลก ไม่มีวันลืมเลือน         

พลาตินี่ จบชีวิตเล่นฟุตบอลให้กับทีม ชาติ หลังจากนัดที่เอาชนะไอซ์แลนด์ไปได้ 2-0 ในวันที่ 29 เม.ย. 1987 และประกาศเลิกเล่นให้กับทีมยูเวนตุส ในปีเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 31 ปี และเขาได้กล่าวว่า ” ผมได้ตายจากโลกไปเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 1987″ แต่ในปี 1988 พลาตินี่ เข้ามารับตำแหน่งทีมเชฟของทีมชาติฝรั่งเศสและพาทีมลุยฟุตบอลยูโร 88 และ 92 ก่อนจะอำลาทีมในที่สุด และพลาตินี่ได้รับการยกย่องว่า เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่งและเป็นดาวเตะตลอดกาลของทีมชาติ ฝรั่งเศสอีกด้วย
ปัจจุบัน พลาตินี่ดำรงตำแหน่งรองประธานฟุตบอลของฝรั่งเศสและสมาชิกคณะกรรมการยูฟ่า
เกียรติประวัติของพลาตินี่
ระดับชาติ ติดทีมชาติ 72 ครั้ง ยิง 41 ประตู
อันดับ3ฟุตบอลโลก ปี 1982,1986
แชมป์ยุโรป ปี 1984
ระดับสโมสร แชมป์กัลโช่เซเรียอา ปี 1984,1986 (ยูเวนตุส)
แชมป์โคปปาอิตาเลีย ปี 1983 (ยูเวนตุส)
แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ปี 1985 (ยูเวนตุส)
แชมป์คัพวินเนอร์คัพ ปี 1984 (ยูเวนตุส)
แชมป์ฝรั่งเศส ปี 1981 (แซงต์เอเตียน)
แชมป์เฟร้นช์คัพ ปี 1978 (แซงต์เอเตียน)
พลาตินี่เคยได้รับเลือกเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) ถึง 3 สมัยติดต่อกันด้วยในปี 1983,84 และ 85
                                 


วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/Birt Patenaude/นักฟุตบอลอเมริกันในยุค1930

Bertrand "Bert" Arthur Patenaude ( / ˈ p æ t n d / ; November 4, 1909 – November 4, 1974) was an American soccer player. Although earlier disputed, he is now officially credited by FIFA as the scorer of the first hat-trick in World Cup history. He is a member of the United States Soccer Hall of Fame

Club career

In 1928, Patenaude began his professional career with Philadelphia Field Club of the American Soccer League . In his eight games with Philadelphia, he scored six goals. Despite this productivity, he moved to J&P Coats for one league game, then moved again to his hometown Fall River Marksmen . He remained in Fall River until the summer of 1930, winning the 1930 National Challenge Cup before moving to the Newark Americans . [ 1 ] He scored seven goals in five games at the start of the 1930-1931 season, but found himself back with the Marksmen for the end of the season. In 1931, Fall River merged with the New York Soccer Club to form the New York Yankees . However, Fall River had already begun playing National Cup games. Therefore, while the Yankees won the National Cup, the records show the winner as Fall River. In the cup championship, Patenaude scored five goals in the Yankees' 6-2 first game victory over Chicago's Bricklayers and Masons FC [ 1 ] Patenaude remaine
with the Yankees through the spring of 1931. In the fall of 1931, he played with the New York Giants .
The ASL was collapsing by the fall of 1931 and records are incomplete, but it appears that in 1933, Patenaude signed with the Philadelphia German-Americans of the second American Soccer League. In 1934, Patenaude moved west to sign with St. Louis Central Breweries of the St. Louis Soccer League , at that point the only professional league in the country. Central Breweries, stocked with future Hall of Famers, won the league and 1935 National Challenge Cup titles. [ 1 ] In 1935, Central Breweries left the league, became an independent team and lost the sponsorship of the brewery. Patenaude remained with the team, now called St. Louis Shamrocks . [ 2 ] In 1936, the Shamrocks went to the National Cup final before falling to the Philadelphia German-Americans. [ 1 ] In 1936, Patena
 ude returned east where he played with Philadelphia Passon of the ASL.

National team

In 1930, Patenaude was called into the US national team for the 1930 FIFA World Cup . In that cup, he scored a goal in the US opener against Belgium , then a hat trick in the 3-0 victory over Paraguay . Following the US elimination by Argentina in the semifinals, the US went on an exhibition tour of South America, ending with a 4-3 loss to Brazil in which Patenaude scored his sixth and final US goal and never again appeared with the national setup.
Patenaude's record of four goals in one World Cup remains the standard for an American player. Additionally, his total stood as the all-time career mark for an American player for eighty years, until it was broken by Landon Donovan during the 2010 FIFA World Cup .
                                 




World Cup hat trick

Patenaude's historic day came on July 17, 1930, as the United States played Paraguay in the inaugural World Cup . Patenaude scored the opening goal in the tenth minute. A second goal in the fifteenth minute had been credited several different ways: as an own goal by Aurelio González (according to the RSSSF), a regular goal by the US's Tom Florie (according to the official FIFA match record), or as Patenaude's second goal (according to the United States Soccer Federation ). A fiftieth minute goal by Patenaude gave the US a 3-0 win over the South Americans.
The dispute and discrepancies over the second goal had led to confusion over the first-ever World Cup hat-trick, as Argentina's Guillermo Stábile scored one against Mexico just two days after the USA-Paraguay game. However, FIFA announced on November 10, 2006, that Patenaude was indeed the first person to score a hat-trick in World Cup play, confirming that he scored all three goals. [ 3 ]
Patenaude was inducted into the US Soccer Hall of Fame in 1971. He died in Fall River on his sixty-fifth birthday.
Personal information
Full name Bertrand Arthur Patenaude
Date of birth November 4, 1909
Place of birth Fall River, Massachusetts , United States
Date of death November 4, 1974 (aged 65)
Place of death Fall River, Massachusetts , United States
Playing position Forward














Senior career*
Years Team Apps (Gls)
1928 Philadelphia Field Club 8 (6)
1928 J&P Coats 1 (0)
1928-1930 Fall River Marksmen 62 (57)
1930 Newark Americans 5 (7)
1930 Fall River Marksmen 18 (15)
1931 New York Yankees 15 (9)
1931 New York Giants 16 (25)
1933-1934 Philadelphia German-Americans

1934-1935 St. Louis Central Breweries

1935-1936 St. Louis Shamrocks           

1936 Philadelphia Passon

National team
1930 United States 4 (6)
* Senior club appearances and goals counted for the domestic league only.
† Appearances (Goals).

































ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/เลฟ ยาซิน/ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์

เลฟ อิวาโนวิช ยาชิน (รัสเซีย: Лев Ива́нович Я́шин; 22 ตุลาคม ค.ศ. 1929 — 20 มีนาคม ค.ศ. 1990) เจ้าของฉายา "แมงมุมดำ" หรือ "ไอ้ปลาหมึกยักษ์ดำ" เป็นนักฟุตบอลผู้รักษาประตูชาวโซเวียตรัสเซีย ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาฟุตบอล[2] ยาชินมีชื่อเสียงอย่างมากจากการปฏิกิริยาการป้องกันลูกอันน่าทึ่ง และการคิดค้นแนวคิดเด็ดขาดสำหรับการป้องกันประตู ยาชินได้รับเลือกให้เป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมยุโรป‎ประจำคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ[3] และเป็นผู้รักษาประตูคนเดียวที่ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป หรือ บัลลงดอร์ ในปี ค.ศ. 1963 อีกด้วย[4]
นอกจากนี้แล้ว ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1994 จนถึง ฟุตบอลโลก 2010 มีรางวัลยาชิน (Yashin Award) มอบให้แก่ผู้รักษาประตู จนกระทั่งฟุตบอลโลก 2010 จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น รางวัลถุงมือทองคำ (Golden Glove Award)[4]
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เลฟ อิวาโนวิช ยาชิน
วันเกิด 22 ตุลาคม ค.ศ. 1929
สถานที่เกิด มอสโก สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย, สหภาพโซเวียต
วันเสียชีวิต 20 มีนาคม ค.ศ. 1990 (60 ปี)
สถานที่เสียชีวิต มอสโก สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย, สหภาพโซเวียต
ส่วนสูง 1.89 ม. (6 ฟุต 2 นิ้ว)
ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู         
สโมสรอาชีพ*
ปี สโมสร ลงเล่น (ประตู)
1949-1971 ดีนาโมมอสโก 326 (0[1])
ทีมชาติ
1954-1970 ฟุตบอลทีมชาติสหภาพโซเวียต 78 (0)

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/หลุยส์ ฟิโก้/กองกลางหน้าคมแห่งแดนฝอยทอง

ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : หลุยส์ เฟลิเป้ มาไดร่า คาไรโร่ ฟิโก้(ลูอิช ฟิกู)
วันเกิด : 4 พฤศจิกายน 1972
สถานที่เกิด : อัลมาดา, โปรตุเกส
สัญชาติ :  โปรตุเกส
ส่วนสูง : 1.80 เมตร (5 ฟุต 11 นิ้ว)
สโมสร : อินเตอร์ มิลาน
ตำแหน่ง : ปีกขวา
เบอร์เสื้อ : 7
หลุยส์ ฟิโก้ คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกในรอบสิบปีที่ผ่านมา เขาคือเจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมยุโรปในปี 2000 และผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าในปี 2001 ด้วยความสามารถในการลากเลื้อย และการผ่านบอลอย่างสุดเฉียบ รวมถึงการทำสกอร์ในแถวสองได้ดี
เริ่มต้นนักฟุตบอลอาชีพ
figo
ฟิโก้ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ทีมดังในประเทศบ้านเกิด และถูกเรียกตัวติดทีมชาติเป็นครั้งแรกในปี 1991 ก่อนหน้านั้นเขาเป็นสมาชิกของทีมเยาวชนโปรตุเกสชุดที่คว้าแชมป์โลกชุดอายต่ำ กว่า 20 ปีร่วมกับเพื่อนร่วม "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" อย่าง รุย คอสต้า, เจา ปินโต และ เปาโล ซูซ่า
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตนักฟุตบอลของ ฟิโก้ เกิดขึ้นในปี 1995 เขาได้รับความสนใจจากบรรดาทีมชั้นนำในยุโรปแต่เรื่องยุ่งยากก็เกิดขึ้น เมื่อเขาไปเซ็นสัญญาซ้ำซ้อนกับ ยูเวนตุส และ ปาร์ม่า พร้อมๆ กันทำให้ให้ถูกสั่งลงโทษไม่ให้ย้ายไปเล่นในอิตาลีเป็นเวลาสองปี ส่งผลให้ทีมที่คว้าตัวเพชรเม็ดงามอย่างเขาไปครอบครองก็คือ บาร์เซโลน่า นั่นเอง
ภายใต้การดูแลของ โยฮันส์ ครัฟฟ์ เพียงชั่วเวลาเพียงแค่ 4 ปี ฟิโก้ ก็กลายเป็นนักเตะขวัญใจแฟนบอลแและกัปตันทีมของสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลัน โดยเขาร่วมคว้าแชมป์ ลา ลีกา และแชมป์ โคปา เดล เรย์ กับทีมได้อย่างละ 2 สมัย
ฟิโก้ ไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่นตำแหน่งปีกชั้นนำเท่านั้น แต่เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกด้วยความสามารถในการเลี้ยงบอล ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และสถิติจำนวนการเปิดป้อนให้เพื่อนร่วมทีมทำประตู (ฟิโก้ เคยกล่าวว่าเขาชื่นชอบที่จะเป็นผู้ผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูมากกว่ายิงเอง)
ในปี 2000 ชื่อของเขาก็กลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลสเปน เมื่อ รีล มาดริด จ่ายเงินถึง 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2,240 ล้านบาท) และนั่นทำให้เขาเป็นนักเตะที่โด่งดังที่สุดเท่าที่เคยมีการโยกย้ายระหว่าง สโมสรทั้งสอง
figo
นอกจากนี้มันยังส่งผลให้เกิดความเกลียดชัง อย่างบ้าคลั่งจากแฟนบอลของ บาร์ซ่า ที่มีต่อตัว ฟิโก้ เองด้วย จากอดีตปีกขวัญใจอันดับหนึ่ง ฟิโก้ กลับกลายเป็นคนที่แฟนบอลในถิ่น คัมป์ นู เกลียดชังมากที่สุดและถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและเห็นแก่เงิน
หนึ่งในภาพเหตุการณ์ที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ก็คือในระหว่างเกม ยูโร 2004 รอบชิงชนะเลิศที่ ฟิโก้ ลงเล่นให้โปรตุเกสพบกับกรีซ แฟนบอลคนหนึ่งได้วิ่งลงมาในสนามตรงมาหา ฟิโก้ และขว้างผ้าผืนหนึ่งมาที่ตัวเขา ผ้าผืนดังกล่าวก็คือธงเชียร์ของสโมสรบาร์เซโลน่านั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การย้ายทีมของเขาจะเต็มไปด้วยเรื่องราวอื้อฉาวที่ตามมามากมาย แต่ ฟิโก้ ก็แสดงให้เห็นว่านั่นไม่ใช่การตัดสินใจผิด เมื่อเขาร่วมคว้าแชมป์ได้กับทีมราชันชุดขาวมากมายหลายรายการ โดยเฉพาะในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลที่เขารอคอยมานาน
นอกจากนี้เขายังมีช่วงปีที่ดีที่สุดเมื่อ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมยุโรป และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่ามาครองในปี 2000 และ 2001 ตามลำดับ ฟิโก้ เล่นอยู่กับ รีล มาดริด จนกระทั่งในปี 2005 เขาก็ย้ายไปเล่นในอิตาลีกับ อินเตอร์ มิลาน 
figo
2005-ปัจจุบัน : อินเตอร์ มิลาน
ในฤดูกาลแรก กับ อินเตอร์ มิลาน ฟิโก้ ลงสนามไปทั้งสิ้น 34 นัด และช่วยให้ทีมปิดฉากซีซั่น ด้วยการรั้งตำแหน่งอันดับ 3 ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อย่างไรก็ตาม ในเวลาถัดมา "งูใหญ่" ก็ถูกประกาศให้ความแชมป์ สคูเต็ตโต้ แทนที่ แชมป์ในปีนั้น อย่าง ยูเวนตุส  หลังพบว่า ทีม "ม้าลาย" ทำการตกแต่งผลการแข่งขัน และโดนปรับตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี เช่นเดียวกับ อันดับ 2 อย่าง เอซี มิลาน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงถูกตัดแต้ม 30 คะแนน
ในปี 2006-2007 ฟิโก้ ลงเล่นให้ อินเตอร์ ไป 32 นัด ทำได้ 2 ประตู แต่นั่นก็ดีพอที่จะช่วยให้ทีม ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ ได้อย่างยิ่งใหญ่แบบไร้ข้อกังขา ด้วยการทำแต้มทิ้งห่างทีมอันดับ 2 ชนิดไม่เห็นฝุ่น พร้อมกับทำ
 สถิติชนะรวดติดต่อกันถึง 17 นัดอีกด้วย
ในเดือนธันวาคม 2006 ฟิโก้ ตกเป็นข่าวว่าย้ายไปเล่นให้กับ ทีม อัล-อัตติฮัด ทีมดังของ ซาอุดิอาระเบีย  โดยทั้งสองฝ่ายจ่อที่จะบรรลุข้อตกลงกันอยู่แล้ว แต่ ทุกอย่างก็ล้มเลิกกลางคัน เมื่อ ฟิโก้ เปลี่ยนใจที่จะยังคงค้าแข้งกับ อินเตอร์ ต่อไป จนหมดสัญญาในปี 2007-2008
เข้าสู่ฤดูกาลใหม่ ฟิโก้ ยังคงตกเป็นข่าวกับทีม อัล-อัตติฮัด เช่นเดิม แต่ทุกอย่างก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่จากรายงานล่าสุด ได้ออกมาระบุว่า ฟิโก้ เริ่มมีความสนใจที่จะย้ายไปค้าแข้งในเมเจอร์ลีกสหรัฐฯ หลังหมดสัญญากับทีม "งูใหญ่" ในวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 2008 อย่างไรก็ตาม ฟิโก้ ก็ได้ออกมาเผยว่า เขาจะยังคงฝากอนาคตอยู่กับ อินเตอร์ ต่อไป 

figo
กับทีมชาติโปรตุเกสนั้น นับตั้งแต่ถูกเรียกเข้าสู่ทีมด้วยวัยเพียง 19 ปี ฟิโก้ ก็กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมเรื่อยมา และนำทีมลงเล่นในทัวร์นาเมนต์สำคัญทั้งใน ยูโร 96, ยูโร 2000 จนมาถึงศึก ยูโร 2004 ซึ่งโปรตุเกสลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง
และในวัย 32 ปี ฟิโก้ ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับหน้าที่กัปตันทีม ก็นำทีมชาติโปรตุเกสฝ่าฟันกับแรงกดดันที่ต้องแบกรับไว้มากมายผ่านเข้าไปเล่น ในรอบชิงชนะเลิศได้ในที่สุด ทว่าความผิดหวังจากการพ่ายแพ้ต่อทีมชาติกรีซในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้ ฟิโก้ ตัดสินใจประกาศอำลาทีมชาติหลังการแข่งขันจบลง
หนึ่งปีหลังจากนั้น เมื่อ ฟิโก้ เริ่มไม่มีความสุขในการลงเล่นกับทีมต้นสังกัด (รีล มาดริด) ทำให้เขาหวนกลับมานึกถึงการรับใช้ชาติอีกครั้ง และในที่สุด หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ก็เรียกเขาคืนสู่ทีมชาติเพื่อช่วยทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ซึ่งเทรนเนอร์ชาวบราซิลให้ ความเห็นว่านักเตะที่ยิ่งใหญ่อย่าง ฟิโก้ ไม่ได้มีดีแค่ฝีเท้าเท่านั้น แต่คุณสมบัติความเป็นผู้นำและประสบการณ์อื่นๆ ที่เขาจะมอบให้กับรุ่นน้องคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทีมชาติโปรตุเกสประสบ ความสำเร็จได้
และ ฟิโก้ ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลที่เฝ้ารอคอยผิดหวัง เขากลับมาช่วยให้ทีมผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปเล่นที่ฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมันได้ด้วยสถิติอันยอดเยี่ยม โดยในการกลับมาลงสนาม ทั้ง 8 นัดของเขานั้น ทีมฝอยทองคว้าชัยชนะได้ถึง 7 เกม เสมอไปเพียง 1 เกมเท่านั้น
ฟิโก้ สวมปลอกแขนกัปตันทีม นำทัพ โปรตุเกส ลงทำศึกฟุตบอลโลก 2006 และเขาก็มีส่วนสำคัญพาทีมผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนที่จะหยุดเส้นทางไว้แค่นั้น หลังจากพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส ไปอย่างน่าเสียดาย 0-1 และในรอบชิงที่ 3 ทีมก็ต้องไปพ่ายให้ักับ เยอรมัน 0-2 อย่างไรก็ตาม นี่ก็ถือเป็น เลยผลงานที่ดีที่สุึดของโปรตุเกสในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ปี 196ุ6ทีเดียว
ขีวิตส่วนตัว
ฟิโก้ แต่งงานกับ เฮเลน สเวดิน นางแบบสาวชาวสวีดิช โดยทั้งคู่ พบกับที่ งานแสดงแฟนชั่นโชว์ที่ ฟลาเมงโก้ และตอนนี้ ทั้ง ฟิโก้ และ เฮเลน มีลูกสาวด้วยกัน 3 คน ได้แก่ดาเนียลลา (เกิด มีนาคม 1999), มาร์ติน่า (เกิดเมษายน 2002) และ สเตลล่า (เกิด 9 ธันวาคม 2004) อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังมีแผนที่จะปั้มลูกคนที่ 4 อีกด้วย
เกียรติยศที่เคยได้รับ
ระดับสโมสร

สปอร์ติ้ง ลิสบอน
คัพ ออฟ โปรตุเกส : 1995
บาร์เซโลน่า
ลา ลีกา : 1998,1999
โคปา เดล เรย์ :  1997, 1998
ซูเปอร์ โคปา เดอ เอสปันญ่า : 1996
ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ : 1997
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 1997
โคปปา คาตาลันยา : 2000
เรอัล มาดริด
ลา ลีกา : 2001, 2003
ซูเปอร์ โคปา เดอ เอสปันญ่า : 2001, 2003

 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2002
อินเตอร์คอนทิวเน่นทัล คัพ : 2002
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 2002

อินเตอร์ มิลาน
กัลโช เซเรีย อา : 2006, 2007, 2008
โคปปา อิตาเลีย : 2006
อิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ : 2005, 2006, 2008

ทีมชาติโปรตุเกส
2006 FIFA World Cup: อันดับ 4
UEFA Euro 2004 : รองแชมป์
FIFA U-20 World Cup - 1989                          

FIFA U-20 World Cup - 1991
รางวัลส่วนตัว
ผู้เล่นชาวยุโรปยอดเยี่ยม 2000
ผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟีฟ่า : 2001, อันดับ 2 : 2000
 นักฟุตบอลโปรตุเกสยอดเยี่ยม : 1995, 1996, 1997, 1998, 1999, 2000
บอลทองคำ(ของชาวโปรตุเกส) : 1994
ติดยูฟ่าทีมออฟเดอะเยียร์ : 2003
ติดทีมออลสตาร์ฟุตบอลโลก : 2006