วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We will remember you!!! (8)


ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมกับนักเตะเลือดอุรุกวัยคนนี้นั้น ตอนแรกที่เขามาสู่ลิเวอร์พูลใหม่ๆในช่วงปี2011นั้น เขายังโชว์ฝีเท้าออกมาไม่โดดเด่นนัก(ถ้าเทียบกับตอนนี้และแน่นอนตอร์เรสศูนย์หน้าคนก่อนเขา) แต่ต้องยอมรับว่าการมาของเขาทำให้ลิเวอร์พูลกระโดดจากอันดับ12แล้วไปจบอันดับ6ตอนจบฤดูกาลได้อย่างไม่น่าเชื่อ   
สมัยอยู่สโมสร นาซิอองนาล


 หลุยส์ ซัวเรส เป็นนักเตะที่เพียบพร้อมหากจะเทียบกับศูนย์หน้าคนก่อนอย่าง เอลนินโญ่ เฟร์นานโด ตอร์เรส ศูนย์หน้าหน้าคมของสเปน  ซัวเรสถูกเคนนี่ ดัลกริชดึงตัวเข้ามาเล่นในสมัยที่เป็นโค้ชคุมลิเวอร์พูลช่วงนั้น  โดยซื้อตัวมาระหว่างที่ถูกโทษแบนในลีกฮอลแลนด์จากกรณีไปกัดไหล่ของผู้เล่นคนหนึ่งในระหว่างการแข่งขัน   และให้สวมเสื้อเบอร์7(คนก่อนเขาคือHarry Kewellซึ่งย้ายสโมสรไปแล้ว)เหมือนกับเขา ซึ่งเคยสวมใส่มันล่าตาข่ายมาก่อน
ที่บอกว่าเพียบพร้อมนั้น ไม่ใช่หน้าตา หมายถึงฝีเท้า แน่นอนว่า เฟร์นานโด ตอร์เรสกับหลุยส์ ซัวเรสนั้นฝีเท้าไม่ต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการลากเลื้อย หลบหลีกผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามได้เก่งไม่แพ้กัน จังหวะการจบสกอร์ก็มีความคมไม่แพ้กัน
แต่ซัวเรสสิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากตอร์เรสอย่างเห็นได้ชัด คือ วิธีการเข้าทำและจบสกอร์
หลุยส์ ซัวเรสดาวยิงอุรุกวัยคนนี้มีวิธีการส่วนตัวของเขาในการเข้าทำสกอร์ที่หลากหลายกว่า แม้บางครั้งจะเหมือนเขาเล่นตุกติก เล่นผิดกติกาบ้าง สิ่งนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับวิชาชีพฟุตบอลเลย แต่ถ้าหากพูดถึงเฉพาะวิธีการเข้าทำสกอร์ที่ชาญฉลาดของเขา ที่สะอาดละก็ พูดได้เต็มปากเลยว่า เขาดีกว่าตอร์เรส
เขาทำประตูจากลูกโหม่งได้ดีไม่แพ้เท้า เขาปั่นฟรีคิกเข้าไปได้ไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูกชนิดหลังๆจอมปั่นฟรีคิกอย่างกัปตันเจอราดยังอาย!!!


 นอกจากนี้ ระยะหลังๆ ซัวเรสยังไม่ค่อยหวงบอลนัก  จังหวะที่ต้องลงไปช่วยกองหลังเขาก็ไป  จังหวะที่ต้องพาสลูกไปให้เพื่อนคนอื่นทำสกอร์ เขาก็สามารถทำได้  การันตีด้วยเจ้าของสถิติแอสซิสต์สูงสุดในฤดูกาลที่แล้ว


แต่เหมือนมีกรรม แม้ตอร์เรส ศูนย์หน้าคนก่อนไม่มีลักษณะการจบสกอร์ดีแบบที่ซัวเรสเป็นในตอนนี้ แต่ตอร์เรสก็ไมมีจังหวะการเล่นที่ไม่สะอาดเหมือนกับซัวเรส(อย่างดีก็แค่พุ่งล้มนิดๆหน่อยๆเท่านั้น)   ซัวเรสมีทั้งพุ่งล้มบ้าง ใช้มือบ้าง(ในฟุตบอลโลก2010)  และการอัดผู้เล่นกองหลังที่คอยมาปั่นป่วนการทำสกอร์ของเขา แบบไม่เหมือนใคร ไม่เตะขา ไม่โดดถีบยอดอก แต่เด่นๆคือการกัด หรือBiteผู้เล่นนั่นเอง

การกัดของหลุยส์ ซัวเรสเท่าที่มีการบันทึกเอาไว้จริงๆจังๆนั้น พบว่าถึงตอนนี้ มีด้วยกัน3ครั้ง เป็นกัดกองกลางหนึ่งครั้ง คือ ออตมาน บัคคัล นักเตะพีเอสวี ไอล์ดโฮลเฟ่น(ขณะที่เขาเป็นศูนย์หน้าอาแจ็กส์)ในปี2010 โดนแบนยาว7นัด ก่อนที่สโมสรลิเวอร์พูลจะซื้อตัวมาเล่นในต้นปี2011
ครั้งที่สอง ในฤดูกาล2012-13 ในเกมระหว่างลิเวอร์พูลกับเชลซี หวยนั้นออกไปที่กองหลังชาวเซิร์บ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช   ซึ่งในตอนนั้นกรรมการไม่เห็นและมาลงโทษแบนยาว10นัดในภายหลัง(ทำให้ซัวเรสอยู่ไปจนจบเกมและยังอุส่าห์ทำประตูได้อีกในช่วงท้าย เสมอกัน2-2)
ก่อนที่เขาจะมาระเบิดฟอร์มเปรี้ยงปร้างในฤดูกาลถัดมา เป็นเจ้าของรางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ในท้ายสุด
และครั้งล่าสุด ในฟุตบอลโลก2014ที่บราซิลนี่เอง นัดชี้ชะตาหาทีมเข้ารอบ16ทีมสุดท้ายระหว่างอุรุกวัยทีมชาติเขากับทีมอิตาลี  หวยนั้นไปออกที่กองหลังจอร์โจ้ คิเอลลินี่ ซึ่งหลังจากการกัดไปไม่กีี่นาที อุรุกวัยก็สามารถเขี่ยอิตาลีตกรอบได้ จากลูกเตะมุม และโหม่งเข้าไปโดยเดียโก โกดินเป็นลูกนำชัย แต่หลังจากนั้น ฟีฟ่านำเรื่องของซัวเรสมาสอบสวน ในที่สุดศูนย์หน้าจอมกัดคนนี้ก็โดนโทษแบนยาวอีก4เดือน ถูกปรับและห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลอีกเลยในระหว่างนี้
แต่ระหว่างนี้ หลุยส์ ซัวเรสก็ถูกสโมสรบาร์เซโลน่ามาซื้อตัวไปอีก เหมือนครั้นกับลิเวอร์พูลไม่มีผิด
 นักจิตวิทยา พากันวิเคราะห์พฤติกรรมการกัดของซัวเรสไปหลายวิเคราะห์  รวมไปถึงอดีตนักเตะดังๆอย่างโอลิเวอร์ คานส์ดียโก มาราโดน่าเป็นต้น บางทีก็ว่ามันอาจเป็นการระบายความเครียด กดดันของเขาในระหว่างเกมที่มัน"สำคัญ"   ซึ่งนักเตะหลายคนเองก็เป็น  นักจิตวิทยาบางท่านบอกว่า มันอาจมาจากพื้นฐานครอบครัวของเขาในวัยเด็กซึ่งบกพร่อง ทำให้เขาขาดความอบอุ่น (พ่อแม่ของเขาหย่าร้างกันตั้งแต่เด็ก) บ้างก็ว่าเขาเป็นโรคสมาธิสั้น ประมาณอยู่ไม่สุขงี้
 
หลุยส์  ซัวเรสมักทำช็อตมหัศจรรย์ๆให้แฟนเดอะ ค็อปได้อึ้งเสมอๆ แม้ว่าบางทีจะเหมือนโอเวอร์มากไปจนมีบ้างที่คนจะไม่ชอบในพฤติกรรมตุกติกของเขา แต่แฟนๆก็ชอบเขาหลายคนใช่ไหมล่ะครับ???แน่นอนว่า เขาเป็นศูนย์หน้าที่พึ่งพาได้ พลิกสถานการณ์เกมได้ และเชื่อว่าเคนนี่ ดัลกริช คงคิดว่าตนคิดถูกแล้วที่เขาให้สวมเบอร์7เบอร์ของเขาในอดีต
ก็เพราะว่า ตอนนี้ หลุยส์ ซัวเรสได้กลายเป็นตำนานอีกคนหนึ่งของลิเวอร์พูลไปแล้ว  การันตีด้วยสถิติมากมายในซีซั่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรางวัลดาวซัลโวและแอสซิสต์สูงสุด ได้รางวัลนักเตะพีเอฟเอของอังกฤษ  และที่สำคัญรางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป(ครองร่วมกับโรนัลโด้ของเรอัล มาดริดเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนที่สองต่อจากเอียน รัชที่ได้ในปี1983-84)

อันดับ ชื่อ สโมสร ประตู[1]
1 อุรุกวัย ลุยส์ ซัวเรซ ลิเวอร์พูล 31
2 อังกฤษ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ลิเวอร์พูล 21
3 โกตดิวัวร์ ยาย่า ตูเร แมนเชสเตอร์ ซิตี 20
4 อาร์เจนตินา เซร์คีโอ อะกูเอโร แมนเชสเตอร์ ซิตี 17
อังกฤษ เวย์น รูนีย์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
6 โกตดิวัวร์ วิลฟรีด โบนี สวอนซี ซิตี 16
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เอดิน เจโก แมนเชสเตอร์ ซิตี
ฝรั่งเศส ออลีวีเย ฌีรู อาร์เซนอล
9 เบลเยียม โรเมลู ลูกากู เอฟเวอร์ตัน 15
อังกฤษ เจย์ โรดรีเกซ เซาแทมป์ตัน




ท้ายนี้  ผมในฐานะแฟนลิเวอร์พูลคนนึง ก็อยากอวยพรให้ศูนย์หน้าจอมกัดคนนี้  ไปได้ดิบได้ดีในสเปน ไม่อยากฟังข่าวว่าไปกัดใครเขาอีก ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา เขาทำหน้าที่ของเขาได้อย่างดี แฟนเดอะค็อปต้องขอบคุณเขา ผมขอเป็นตัวแทนคนพวกนั้นขอบคุณเขาก็แล้วกัน






 

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We will remember you!!!!(7)

ทีมชาติอุรุกวัย

ฟุตบอลโลก2010

สามารถทำสกอร์ได้สามประตูตลอดทั้งทัวร์นาเม้นท์  และมี่ทำส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้อุรุกวัยผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศได้(ซึ่งสุดท้ายก็ต้องไปแพ้เยอรมันในนัดชิงที่สามในเวลาต่อมา)

 

กลุ่ม A

ทีม
    
แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ ได้ เสีย ต่าง แต้ม
ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย 3 2 1 0 4 0 +4 7
ธงชาติเม็กซิโก เม็กซิโก 3 1 1 1 3 2 +1 4
ธงชาติแอฟริกาใต้ แอฟริกาใต้ 3 1 1 1 3 5 −2 4
ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 3 0 1 2 1 4 −3 1


ฟุตบอลโลก 2014

ทีมชาติอุรุกวัยได้เรียกตัว ลุยส์ ซัวเรซ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ก็ตาม ในรอบแรกนัดที่สาม ที่อุรุกวัยพบกับอิตาลี ลุยส์ ซัวเรซ สร้างเรื่องฮือฮาขึ้นมาเมื่อเป็นฝ่ายไปกัดไหล่ของ จอร์โจ กีเอลลีนี กองหลังของอิตาลี ซึ่งสถานการณ์บังคับให้อุรุกวัยต้องชนะอิตาลีให้ได้เท่านั้น จึงจะผ่านเข้ารอบไปได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรรมการจะไม่เห็น แต่ทว่าสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ก็มีบทลงโทษย้อนหลัง โดยให้ซัวเรซต้องงดเล่นให้กับทีมชาติเป็นเวลานานถึง 9 นัด

กลุ่มดี

ทีมชาติ แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ ได้ เสีย +/- คะแนน
ธงชาติคอสตาริกา คอสตาริกา 3 2 1 0 4 1 +3 7
ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย 3 2 0 1 4 4 0 6
ธงชาติอิตาลี อิตาลี 3 1 0 2 2 3 -1 3
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ 3 0 1 2 2 4 -2 1
และยังห้ามเล่นในระดับสโมสรอีก 4 เดือน และยังสั่งปรับซัวเรซอีกเป็นจำนวนเงิน 3.6 ล้านบาท[32]
ซึ่งก่อนหน้านั้นซัวเรซเองก็มีพฤติกรรมเช่นนี้มาแล้วเมื่อครั้งยังเล่น อยู่ในเอเรอดีวีซี หรือลีกของเนเธอร์แลนด์ กอรปกับฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ในรอบสี่ทีมสุดท้าย ซัวเรซก็เป็นฝ่ายใช้มือปัดลูกฟุตบอลที่กำลังจะเข้าประตูของทีมกานา ทำให้อุรุกวัยเสียจุดโทษแต่ทว่า ฝ่ายกานายิงไม่เข้า

เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร

นาซีโอนัล
อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม
  • แชมป์เอเรดิวีซี่ ฮอลแลนด์ (1): 2010-11
  • แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ (1): 2009-10
ลิเวอร์พูล

รางวัลส่วนตัว

ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของ โคปาอเมริกา 2011
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): 2013–14
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (1): 2013–14
  • รองเท้าทองคำของยุโรป (1): 2013–14
  • Barclays Player of the Season (1): 2013–14
  • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล (1): 2013
  • ผู้เล่นแห่งปีของเอเรดิวีซี่ (1): 2009–10
  • ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (2): 2012–13, 2013–14
  • Premier League Player of the Month (2): ธันวาคม 2013, มีนาคม 2014
  • Premier League Golden Boot (1): 2013–14
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 10 (1): 2012–13
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 20 (2): 2012–13, 2013–14
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 30 (1): 2013–14
  • เอเรดิวีซี่รองเท้าทองคำ (1): 2009–10[36]
  • เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด (1): 2009–10
  •  
  • โคปาอเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน (1): 2011
  • ผู้เล่นแห่งปีของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม (2): 2008–09, 2009–10
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม (2): 2008–09[37], 2009–10[38]
  • Liverpool FC Player of the Year (2): 2012–13, 2013–14
  • Liverpool Players' Player of the Year (1): 2013–14
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล (3): 2011–12, 2012–13, 2013–14
  • Liverpool Goal of the Season (2): (2012–13: เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2012), (2013–14: ประตูที่ 1 เจอกับ นอริชซิตี ในวันที่ 4 ธันวาคม 2013)
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month (14): มีนาคม 2011, พฤษภาคม 2011, สิงหาคม 2011, กันยายน 2011, ตุลาคม 2011, เมษายน 2012, กันยายน 2012, ตุลาคม 2012, ธันวาคม 2012, กุมภาพันธ์ 2013, ตุลาคม 2013, พฤศจิกายน 2013, ธันวาคม 2013, มกราคม 2014

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We will remember you!!!(6)

ฤดูกาล 2013-14      ฤดูกาลที่น่าจดจำ


ลุยส์ ซัวเรซ โดนแบน 6 นัดแรก จากกรณีกัดแขน อีวานอวิช เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ต่อมา ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากพ้นโทษแบน 10 นัด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ในลีกคัพ รอบ 3 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ ลีกคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกนัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ สเตเดียมออฟไลต์ เจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่ เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2 ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 4 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 4-1 ต่อมา ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ฟูลัม 4-0 ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสันพาร์ก 3-3 ต่อมา ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 5 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 4 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ นอริชซิตี 5-1 ทำให้ ซัวเรซ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ทำแฮตทริกใส่คู่ต่อสู้ทีมเดียวกันได้ถึงสามครั้ง ต่อมา ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-1 ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ลิเวอร์พูล แทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ไม่ได้ลงสนามและได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ ไวต์ฮาร์ตเลน 5-0 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล หรือ FSF Award โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่เอมิเรตส์ สเตเดียม สนามของอาร์เซนอล[24] ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้รับการต่อสัญญาจากสโมสรออกไปอีก จนถึง ปี 2018 และรับค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของประวัติ ศาสตร์ของสโมสร ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3-1 ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 10 ประตูในเดือนเดียว ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนธันวาคม ของ พรีเมียร์ลีก โดยยิงได้ 10 ประตูจาก 7 นัด
ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2014 นัดแรกของปี 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ฮัลล์ซิตี 2-0 ต่อมา ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่ บริแทนเนียสเตเดียม 5-3 ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 23 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0 ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก และทำประตูที่ 24 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่ เซนต์แมรีส์สเตเดียม 3-0 ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 25 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด 3-0 ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 6 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 3 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่ คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม 6-3 ต่อมา ในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 29 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-0 ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนมีนาคม ของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด[25] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 30 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่ แคร์โรว์โรด 3-2 ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก เอียน รัช ที่ทำได้ในปี 1987 และเป็นนักเตะคนที่ 7 ที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2013-14 ส่งผลให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้คนแรกที่ได้รางวัลนี้ไปครอง และเป็นนักเตะคนที่ 6 ของ ลิเวอร์พูล ที่ได้รับรางวัลนี้[26] ต่อมา ซัวเรซ ได้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (เอฟดับเบิ้ลยูเอ) ไปอีกหนึ่งรางวัล ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ เซลเฮิสต์พาร์ก เจอกับ คริสตัลพาเลซ ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ซัวเรซ ได้ยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล ออกนำ 3-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล โดนตีเสมอในช่วงท้าย ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 3-3 หลังจบเกม ซัวเรซ ก้มหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง ทำให้ โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล เหลือน้อยมาก ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้าสามรางวัลของสโมสรลิเวอร์พูล ได้แก่ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล, รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟนๆ และ รางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี จากลูกวอลเลย์ระยะ 40 หลา ในเกมกับ นอริชซิตี เมื่อเดือนธันวาคม จากงานประกาศรางวัล Players’ Awards Dinner ปี 2014 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ ศูนย์ประชุม Liverpool ACC Conference Centre[27] ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดรัง แอนฟีลด์ เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่ เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 31 ประตู จาก 33 นัด[28] ทำให้ ซัวเรซ คว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก และ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2013-14 ไปครอง[29] และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[30] รวมทั้ง ซัวเรซ ได้รางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป ร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด นักเตะของ เรอัลมาดริด ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนที่ 2 ของลิเวอร์พูล ที่ได้รางวัลนี้ต่อจาก เอียน รัช ในฤดูกาล 1983-84[31]

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We will remember you!!!!(5)

ฤดูกาล 2012-13   ฤดูกาลแห่งการถูกแบน

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012–13 วันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟีลด์เจอกับแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ซัวเรซ ได้ยิงฟรีคิกให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 2-2 ต่อมา ในยูฟ่ายูโรปาลีก รอบเพลย์ออฟ ซัวเรซ ได้ยิงประตูตีเสมอ ฮาร์ทส 1-1 ในช่วงท้าย ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 แต่ประตูของ ซัวเรซ ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม ด้วยสกอร์รวม 2-1 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ ที่ สเตเดียมออฟไลต์ 1-1 ต่อมา ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ก่อนเริ่มการแข่งขัน ซัวเรซ ได้ยอมจับมือกับ ปาทริส เอวรา หลังจากที่ ซัวเรซ ไม่ยอมจับมือกับ เอวรา เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี โดย สตีเวน เจอร์ราร์ด ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริก ที่ 2 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่บุกเอาชนะ นอริชซิตี ถึง แคร์โรว์โรด 5-2 โดย ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริก ใส่ นอริชซิตี ที่สนามแคร์โรว์โรด เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่ทำได้ในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว และเป็นชัยชนะนัดแรกของ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก อีกด้วย[18] ต่อมา ในยูฟ่ายูโรปาลีก รอบแบ่งกลุ่ม ซัวเรซ ได้ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ อูดิเนเซ มาเป็น 2-3 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 2-3 ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ บุกไปเยือนที่ กูดิสันพาร์ก เจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-0 ก่อนจะถูก เอฟเวอร์ตัน ยิงตีเสมอเป็น 2-2 และในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซัวเรซ ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 3-2 แต่ผู้ตัดสินกลับยกธงล้ำหน้า โดยที่ ซัวเรซ ไม่ได้อยูในตำแหน่งล้ำหน้า ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 2-2 ต่อมา ในลีกคัพ รอบ 4 ซัวเรซ ก็ทำประตูตีไข่แตกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ สวอนซีซิตี มาเป็น 1-2 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ ลีกคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟีลด์เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด โดย ยออาน กาบาย ยิงประตูให้ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ขึ้นนำก่อน 1-0 แต่ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 ในช่วงครึ่งหลัง ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ สแตมฟอร์ดบริดจ์ เจอกับ เชลซี โดย จอห์น เทอร์รี ยิงประตูให้ เชลซี ขึ้นนำก่อน 1-0 แต่ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 ในช่วงครึ่งหลัง ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟีลด์เจอกับ วีแกนแอธเลติก โดย ซัวเรซ ยิง 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-0 ก่อนจะชนะไป 3-0 ทำให้ ซัวเรซ เป็นคนแรกที่ยิงครบ 10 ประตู ในพรีเมียร์ลีก[19] ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ ฟูลัม 4-0[20] ต่อมา ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2012 นัดสุดท้ายของปี 2012 ซัวเรซ ก็ทำ 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ ที่ ลอฟตัสโรด 3-0
 ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 นัดแรกของปี 2013 ซัวเรซ ก็ทำ 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-0 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ ฟิลด์มิลล์ เจอกับ แมนฟิลด์ ทาวน์ โดย ซัวเรซ เป็นตัวสำรอง ก่อนจะถูกส่งลงสนาม ในนาทีที่ 55 และ ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ออกนำ 2-0 แต่ ซัวเรซ ใช้มือขวาตบบอลไว้หนึ่งจังหวะก่อนตามเข้าไปยิงง่าย ๆ ทั้งที่น่าจะเป็นจังหวะแฮนด์บอลไปแล้ว แต่ผู้ตัดสินกลับให้เป็นประตู ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะไป 2-1 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 16 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ นอริชซิตี 5-0 ทำให้ ซัวเรซ ยิงครบ 20 ประตู รวมทุกรายการ ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบ 4 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ บูนดารี ปาร์ค เจอกับ โอลดัมแอทเลติก โดย ซัวเรซ ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ครั้งแรก แทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่เป็นตัวสำรอง และ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 2-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ เอฟเอคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 17 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ อาร์เซนอล ที่ เอมิเรตส์สเตเดียม 2-2 ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 18 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ สวอนซีซิตี 5-0[21] ต่อมา ในยูฟ่ายูโรปาลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์เจอกับ เซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก จากรัสเซีย โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ไปพ่ายแพ้ที่รัสเซีย 0-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ 3-0 ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป โดย ซัวเรซ ได้ยิงฟรีคิก 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซนิตเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 3-1 สกอร์รวมเสมอกัน 3-3 แต่ ลิเวอร์พูล ต้องกระเด็นตกรอบด้วยกฎประตูทีมเยือน ต่อมา ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 3 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่บุกเอาชนะ วีแกนแอธเลติก ถึง ดีดับเบิลยูสเตเดียม 4-0[22] ทำให้ ซัวเรซ เป็นคนแรกที่ยิงครบ 20 ประตู ในพรีเมียร์ลีก[23] และเป็นนักเตะคนที่ 3 ของ ลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 20 ประตู ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก ร็อบบี ฟาวเลอร์ และ เฟร์นันโด ตอร์เรส ต่อมา ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 และในช่วงท้าย ซัวเรซ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้ลูกจุดโทษ ก่อนที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด จะยิงจุดโทษ เป็นประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 3-2 ต่อมา ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์เจอกับ เชลซี โดยในครึ่งหลัง ซัวเรซ ทำแฮนด์บอลและเสียจุดโทษ ก่อนที่ เอแดน อาซาร์ จะยิงจุดโทษให้ เชลซี ขึ้นนำ 2-1 แต่สุดท้าย ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้าย ช่วยให้ ลิเวอร์พูล รอดตายหวุดหวิด ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 2-2 แต่มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซ ไปกัดที่แขนของ บรานิสลาฟ อีวานอวิช โชคดีที่ ซัวเรซ รอดพ้นจากการโดนใบแดงไล่ ออกจากสนาม แต่หลังจากนั้น ซัวเรซ ก็ไม่รอดหลังจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เปิดฉากสอบสวนก่อนจะสั่งลงโทษแบนยาวถึง 10 นัด ทำให้ ซัวเรซ หมดสิทธิ์ลงสนามใน 4 นัดที่เหลือ รวมถึงไม่สามารถลงสนาม 6 นัดแรกในฤดูกาลหน้าได้ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยที่มี อาร์เซนอล และ เรอัลมาดริด สนใจดึงตัวเขาไปร่วมทีม หลังจากนั้น ซัวเรซ ถูกทางสโมสรจับแยกซ้อมเดี่ยว แต่สุดท้าย ซัวเรซ ได้กลับมาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง หลังจากได้ขอโทษสโมสรและเพื่อนร่วมทีม สุดท้าย ซัวเรซ ได้ตัดสินใจอยู่กับ ลิเวอร์พูล ต่อไป
จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 23 ประตู จาก 33 นัด รวมทุกรายการ ยิงได้ทั้งหมด 30 ประตู จาก 44 นัด ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนที่ 12 ของ ลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 30 ประตู รวมทุกรายการ ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก เฟร์นันโด ตอร์เรส ที่ทำได้ในฤดูกาล 2007-08 ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2012-13 ไปครอง ต่อมา ในวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 ลุยส์ ซัวเรซ ได้ออกมาบอกว่าต้องการย้ายออกจากถิ่นแอนฟีลด์ เนื่องจากไม่มีความสุขการค้าแข้งในอังกฤษ และต้องการลงเล่น

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We wil remember you!!! (4)

ฤดูกาล 2011-12    ฤดูแห่งแชมป์ลีกคัพสมัยที่8ของสโมสร

ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดแรกที่แอนฟีลด์เจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1[12] ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ถึง เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0[13] ต่อมา ในลีกคัพ รอบ 2 ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ Exeter City 3-1 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ วุลเวอร์แฮมป์ตันวันเดอเรอส์ 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 2-0 ต่อมา ในลีกคัพ รอบ 4 ซัวเรซ ก็ทำ 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี 2-1[14] ต่อมา ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ 1-0 หลังจากนั้น ซัวเรซ ก็โดนแบน 8 นัด และถูกปรับเงิน 40,000 ปอนด์ (1.8 ล้านบาท) จากการเหยียดผิว ปาทริส เอวรา แบ็กซ้ายของ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ซัวเรซ ก็ถูกแบน 1 นัดจากการไปแสดงสัญลักษณ์หยาบคายใส่แฟนบอล ฟูลัม

ซัวเรซ ดวลกับ ซิลแว็ง ดิสแต็ง กองหลังของ เอฟเวอร์ตัน ในศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ในเดือนมีนาคม 2012
ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง ในนัดที่เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ หลังจากที่ ซัวเรซ โดนแบน 8 นัด ต่อมา ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึก แดงเดือด บุกไปเยือนที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ก่อนเริ่มการแข่งขัน ซัวเรซ ไม่ยอมจับมือกับ ปาทริส เอวรา เนื่องจากคดีเหยียดผิว ทำให้ ซัวเรซ โดนแบน 8 นัด ในนัดนี้ ซัวเรซ ก็ทำประตูตีไข่แตกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มาเป็น 1-2 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบ 5 ซัวเรซ ก็ทำประตูปิดท้ายให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ Brighton & Hove Albion 6-1 ต่อมา ในลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่สนามนิวเวมบลีย์ ซัวเรซ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 มาครอง จากการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2 และเป็นแชมป์แรกของ ซัวเรซ นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล[15] ต่อมา ในวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ เปิดรังแอนฟีลด์เจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง ถึงแม้ว่า ซัวเรซ จะไม่ได้ทำประตูแต่ก็จ่ายบอลให้กัปตันทีม สตีเวน เจอร์ราร์ด ทำแฮตทริก ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-0[16] ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบ 6 ซัวเรซ ก็ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ สโตกซิตี 2-1 ต่อมา ซัวเรซ ก็ยิงประตูตีเสมอ วีแกนแอธเลติก 1-1 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ซัวเรซ ก็ยิงประตูตีเสมอ แอสตันวิลลา 1-1 ในช่วงท้าย ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง ที่สนามนิวเวมบลีย์ โดยครึ่งแรก เอฟเวอร์ตัน ขึ้นนำก่อน 1-0แต่ในครึ่งหลัง ซัวเรซ ก็ทำประตูตีเสมอ 1-1 ก่อนที่ แอนดี แคร์โรล จะโหม่งทำประตูชัยในนาที 87 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 2-1 และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ได้สำเร็จ ต่อมา ในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่บุกเอาชนะ นอริชซิตี ถึง แคร์โรว์โรด 3-0 ต่อมา ในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามนิวเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์เอฟเอคัพ อย่างน่าเสียดาย ต่อมา ในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ลงเล่นที่แอนฟิลด์นัดสุดท้ายเจอกับ เชลซี อีกครั้ง ในพรีเมียร์ลีก สุดท้าย ซัวเรซ ก็พา ลิเวอร์พูล ล้างแค้น เชลซี ได้สำเร็จ 4-1[17] จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 11 ประตูจาก 31 นัด โดย ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกคัพ แต่จบอันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี สุดท้าย เคนนี ดัลกลิช ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ต่อมา ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง เบรนดัน ร็อดเจอส์ อดีตผู้จัดการทีมสวอนซีซิตี เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ต่อมา ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ลุยส์ ซัวเรซ ได้ตัดสินใจต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล เป็นที่เรียบร้อย เป็นที่คาดการณ์กันว่าจะช่วยการันตีให้เขาค้าแข้งอยู่ที่แอนฟิลด์ต่อไปอย่าง น้อย ๆ 3 ปี โดยรับค่าเหนื่อยเทียบเท่า สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Louis Suarez/We will remember you!!!!(3)

เหยียบแอนฟิลด์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์2011
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ ลุยส์ ซัวเรซ(ในขณะที่กำลังติดโทษแบนยาวกรณีไปกัดออตมัน บักกัลในทีมพีเอสวี ไอลด์โฮลเฟ่นในลีกฮอลแลนด์) เข้ามาในถิ่นแอนฟีลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ ลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดย ซัวเรซ ได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล 2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้ ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ ซัวเรซ เป็นตำนานของลิเวอร์พูลต่อจากเขาต่อไป(ซึ่งก็กลายเป็นจริง เป็นกองหน้าที่ถือว่า ประสบความสำเร็จ) นัดแรกที่ ซัวเรซ ได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟีลด์คือการเจอกับ สโตกซิตี โดยซัวเรซทำไป 1 ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พู ล ได้ทันที เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง[11] และในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟีลด์ตอนรับการมาเยือนของคู่อริ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงแม้ในวันนั้น ซัวเรซ จะไม่ได้ทำประตูแต่ก็ช่วยจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไป 3-1 ซัวเรซ ได้จ่ายไป 2 ลูก โดยการทำแฮตทริก ของ เดิร์ค เคาท์ (เป็นช่วงปลายๆของเค้าท์ก่อนจะอำลาทีมไป) ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในเกมนั้นยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำ เกมให้กับเขาเลยทีเดียว จากนั้น ซัวเรซ ก็ยิงได้อีก 3 ประตู ในนัดที่ ชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-0, ชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 3-0 และชนะ ฟูลัม 5-2 ทำให้ ซัวเรซ ทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 นัด และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึงบรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล/Louise Suarez/I will remember you!!!(1)

ลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ (สเปนLuis Alberto Suárez Díaz) เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ตำแหน่งที่เขาเล่นคือ กองหน้า
ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่กรุงมอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมา ในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีโอนัลในกรุงมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรซเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่สโมสรฟุตบอลโครนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 นัด ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้อายักซ์ อัมสเตอร์ดัมครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ไกรฟฟ์มาร์โก ฟัน บัสเติน และแด็นนิส แบร์คกัมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซ ไปกัดที่ไหล่ของนักเตะเปเอสเฟ ไอนด์โฮเฟิน ออตมัน บักกัล และถูกแบน 7 นัด[1] ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร (เหมือนกับในสถานการณ์ตอนนี้เลย ที่ถูกสโมสรยักษ์ใหญ๋อย่างบาร์เซโลน่าซื้อตัวไประหว่างโดนโทษแบนจากการกรณีไปกัดที่ไหล่ของจอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี ในนัดตัดสินการเข้ารอบ16ทีมสุดท้ายWorld cup2014ที่บราซิลระหว่างอุรุกวัยและอิตาลี)นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล[2] และในฤดูกาลต่อมา เขาก็พาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกคัพ สมัยที่ 8 ไปครอง อีกด้วย
          และในฤดูกาลล่าสุด(2013-14) เขาก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ลิเวอร์พูลจบซีซั่นด้วยอันดับ2ของตาราง (ห่างจากแชมป์แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไปเพียง2แต้มเท่านั้นเอง)โดยเขายังครองสถิติเป็นดาวซัลโวของลีกอีกด้วย และยังได้รับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของอังกฤษหรือรางวัลPFAอีกด้วย นับว่าปีนี้คือปีที่พีคสูงสุดของดาวยิงอุรุกวัยคนนี้เลยก็ว่าได้
       และที่สำคัญ ทำให้ลิเวอร์พูลกลับไปเล่นในยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกได้อีกีครั้ง หลังจากห่างหายไปหลายฤดูกาล ก่อนที่เขาจะย้ายไปบาร์เซโลน่า ในฤดูกาลถัดมา!!!!!
      (ลองคิดดูดีๆ การจากไปครั้งนี้ของหลุยส์ ก็ดูไม่น่าเกลียดนัก และเขาไม่ได้ปล่อยลิเวอร์พูลไปแบบทิ้งๆขว้างๆอีกด้วย คล้ายๆเหมือนปล่อยลูกที่โตแล้วให้ออกไปเที่ยวภายนอกได้นั่นแหล่ะ และในทางกลับกันลิเวอร์พูลก็มองเขาเหมือนลูกเช่นกัน ที่ปล่อยตัวไปให้ยักษ์ใหญ่อย่าง ทีมต่างดาว บาร์เซโลน่าในลาลีก้าเพื่อให้เขาได้หาประสบการณ์)
        
ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรซได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่งบอลโลก ยู 20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลอมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซ มีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า[3] จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรซนำทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ ซัวเรซได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟีนา[

สโมสร[แก้]

ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2014.
สโมสรฤดูกาลลีกฟุตบอลถ้วยลีกคัพยุโรปอื่น ๆรวม
ลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตูลงเล่นประตู
นาซีโอนัล[8][34][b]2005–062710000030423412
รวม2710000030423412
โครนิงเงิน[b]2006–072910210021433715
รวม2910210021433715
อาเอฟเซ อายักซ์[b]2007–083317320041424222
2008–0931222100105004328
2009–103335680096004849
2010–11137110094102412
รวม11081121200321652159111
ลิเวอร์พูล[b]2010–1113400000000134
2011–123111434300003917
2012–133323221184004430
2013–143331301000003731
รวม110699564840013382
รวมทั้งหมด2761702318644521137363220