"อาห์น จุง-ฮวาน"
อดีตฮีโร่กองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้
ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ด้วยวัย 36 ปี
โดยให้
โดยให้เหตุผลว่าต้องการทุ่มเทเวลาไปให้ครอบครัวมากขึ้น...
ชื่อ-นามสกุล : อาห์น จุง-ฮวาน / Ahn Jung-Hwan
วันเดือนปีเกิด : วันที่ 27 มกราคม 1976
สถานที่เกิด : ปาจู, กยองกิ, ประเทศเกาหลีใต้
สัญชาติ : เกาหลีใต้
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร
กีฬา : ฟุตบอล
ตำแหน่ง : กองหน้า
เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ
-เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับทีม บูซาน ไอคอนส์ ในลีกบ้านเกิดเกาหลีใต้เมื่อปี 2000
-ถูก เปรูจา ในกัลโช ซีรีเอ อิตาลี ยืมตัวไปร่วมทีมในฤดูกาล 2000-01
-ปี 2002 อาห์น ยิงประตูโกลเด้นโกลให้ทีมชาติเกาหลีใต้ของเขา
พลิกล็อกเอาชนะอิตาลี 2-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก
ก่อนกรุยทางคว้าอันดับ 4 มาครอง
-หลังจบฟุตบอลโลก อาห์น ถูก ลูเซียโน กาอุชชี ประธานสโมสรจอมเพี้ยนของ เปรูจา ไล่ออกจากทีม
-หลังออกจากเปรูจา อาห์นย้ายไปเล่นที่ญี่ปุ่นกับทีม ชิมิสึ เอสพัลส์
โดยอยู่กับทีมหนึ่งฤดูกาล ก่อนย้ายไปทีม โยโกฮามา เอฟ. มารินอส ในปี 2003
-หลังประสบความสำเร็จในการเล่นที่ญี่ปุ่น เดือนก.ค. ปี 2005 อาห์นย้ายไปเล่นที่ยุโรปอีกครั้งกับทีม เม็ตซ์ ในฝรั่งเศส
-ม.ค. 2006 อาห์น ถูกเชิญไปทดสอบฝีเท้าของ แบล็กเบิร์น
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่ต่อมาเดือนก.พ. เขาจะเซ็นสัญญากับ
ดุ๊ยส์บวร์ก ในลีกเยอรมนีเป็นเวลา 17 เดือน
-ส.ค. 2006 อาห์น ถูก ดุ๊ยส์บวร์ก ปล่อยตัวออกจากทีม
ทำให้เขาตัดสินใจย้ายกลับไปเล่นในเกาหลีใต้กับ ซูวอน ซัมซุง บลูวิงส์
ด้วยสัญญา 1 ป่ี
-อาห์น ติดทีมชาติเกาหลีใต้ไปทำศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี
แถมนัดแรกยังเป็นซูเปอร์ซับลงมายิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะโตโก 2-1 ด้วย
แต่สุดท้ายทีมกลับจอดป้ายเพียงรอบแรกเท่านั้น
-ปี 2008 อาห์น ย้ายกลับไปร่วมทีม บูซาน ไอพาร์ค จนกลับไปติดทีมชาติเกาหลีใต้อีกครั้ง
-ปี 2009 อาห์น ย้ายไปร่วมทีม ต้าเหลียน ไชด์ ในซูเปอร์ลีกจีน
-วันที่ 31 ม.ค. 2012 อาห์น ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ
วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/อาลี เดอี/ศูนย์หน้าติดหนวดจอมถล่มสกอร์
อาลี ดาอี เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1969
เป็นกัปตันทีมชาติอิหร่าน
และเป็นนักฟุตบอลอิหร่านที่โด่งดังเขาได้รับการจดจำจากคนส่วนใหญ่ในฐานะนักเตะที่ยิงประตูในระดับทีมชาติได้มาก
ที่สุดในประวัติศาสตร์
ที่สุดในโลก
หลังเกิดสงคราม อีรัก-อิหร่าน
ซึ่งยืดเยื้อถึง 8 ปี วงการฟุตบอลของพวกเขาก็ถึงช่วงตกต่ำสุดขีด
แต่การแจ้งเกิดของ ดาอี ก็ทำให้แวดวงลูกหนังของอิหร่านกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ดาอี ติดทีมชาติครั้งแรกเมื่อวันที่ 6
มิถุนายน 1993 ในเกมกับ ปากีสถาน ซึ่ง อิหร่าน ชนะถึง 5-0 แต่เขาต้องรออีก
19 วันเพื่อที่จะประเดิมประตูแรกให้กับทีมชาติ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25
มิถุนายน 1993
และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาหยุดยั้งการพังประตูของหัวหอกรายนี้ได้ ดาอี
มีสถิติการทำประตูในเกมระดับทีมชาติอย่างเหลือเชื่อ จากการซัดได้ถึง 109
ประตูจาก 145 นัด ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 0.75 ประตูต่อเกมเลยทีเดียว
ขณะที่ในระดับสโมสร
ศูนย์หน้าติดหนวดไปหาความท้าทายในบุนเดสลีกากับยอดสโมสรอย่าง บาเยิร์น มิวนิค เมื่อปี 1998
ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูการค้าแข้งในเยอรมันให้กับบรรดานักเตะอิหร่านราน
อื่นๆ ทั้ง เมห์ดี้ มาห์ดาวิเคีย ที่เล่นกับ ฮัมบูร์ก, วาฮิด ฮาชิเมียน กับ
ฮันโนเวอร์ 96 และ อาลี คาริมี่ กับ บาเยิร์น
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรกับ
เสือใต้ ดาอี ก็ย้ายไปเล่นกับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน
และกลายเป็นนักเตะอิหร่านคนแรกที่พังประตูได้ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
โดยเขาซัด 2 ประตูในเกมกับ เชลซี และอีกประตูในเกมกับ เอซี มิลาน
ดาอี ย้ายไปเล่นในลีกยูเออีหลังจากนั้น
ก่อนกลับมาบ้านเกิดในปี 2003 และยังรักษามาตรฐานการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
โดยกดไปถึง 36 ประตูในโปรลีกของอิหร่าน หัวหอกตัวเก่งไม่เคยหมดไฟในการเล่น
แม้วัยล่วงเลยถึง 37 ปีแล้ว และความเร็วถดถอยลง
แต่เขาก็ไม่คิดที่จะเลิกเล่นให้กับทีมชาติ
ซึ่งมีแฟนบอลบางส่วนมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัว
เนื่องจากปิดโอกาสแจ้งเกิดของบรรดาผู้เล่นดาวรุ่ง
ดาอี
มีโอกาสพิสูจน์ความเก่งกาจของเขาอีกครั้ง ในศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน
แต่ไม่เป็นไปตามหวัง เขาทำประตูไม่ได้เลย ปิดฉากการค้าแข้งอย่างแสนเศร้า
ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/ซามูเอล คุฟฟูร์/สุดยอดกองหลังแห่งทีมดาวดำ
- ซามูเอล คุฟฟูร์ (ทีมชาติกาน่า) ตำแหน่งกองหลัง
คุฟฟูร์ เริ่มต้นการค้าแข้งในทวีปยุโรปด้วยวัยเพียง 15 ปี หลังจากถูก โตริโน่ ทีมเมืองมะกะโรนี ดึงตัวมาร่วมทีมเนื่องจากประทับใจผลงานของเจ้าตัวในการแข่งขันฟุตบอลท้องถิ่นระดับเยาวชนของ กาน่า ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ บาเยิร์น มิวนิค ในอีก 2 ปี ต่อมา คุฟฟูร์ ระเบิดฟอร์มสุดยอดกับ "เสือใต้" โดยในช่วงเวลา 12 ปี ในถิ่น อัลลิอันซ์ อารีน่า เขานำ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์บุนเดสลีกา 6 สมัย และ เดเอฟเบ โพคาล อีก 4 ครั้ง โดยเจ้าตัวได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองหลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของทวีปแอฟริกา พร้อมทั้งเคยคว้ารางวัลนักฟุตบอลแอฟริกันยอดเยี่ยมแห่งปี 2001 ของ บีบีซี คุฟฟูร์ ประสบความสำเร็จสูงสุดสมัยค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงระหว่างปี 1993-2005 ได้แชมป์ลีก7 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 4 สมัย, เยอรมัน ลีกคัพ 5 สมัย และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย หลังจากนั้น คุฟฟูร์ ก็ย้ายไปเล่นในกัลโซ่ ซีรี่ส์อา กับทีมหมาป่า โรม่า และถูกสโมสรต้นสังกัดปล่อยให้ทีม อาแจ็กส์ อัมสเตอร์ดัม ยืมตัวไปเล่นแต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้จนสัญญาหมดลงจึงตัดสินใจแขวนสตั๊ด แม้จะมีทีมจากลีก ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ยื่นความจำนง อยากได้ตัวไปร่วมทีมก็ตาม จึง ตัดสินใจหันหลังให้กับวงการลูกหนังเมื่อออกมาประกาศแขวนสตั๊ด ด้วยวัย 32 หลังสัญญาหมดลงกับต้นสังกัด ซามูเอล คุฟฟูร์โด่งดังในช่วงปี1993-2006เมื่อเขาตัดสินใจที่จะแขวนสตั๊ดลง
คุฟฟูร์ เริ่มต้นการค้าแข้งในทวีปยุโรปด้วยวัยเพียง 15 ปี หลังจากถูก โตริโน่ ทีมเมืองมะกะโรนี ดึงตัวมาร่วมทีมเนื่องจากประทับใจผลงานของเจ้าตัวในการแข่งขันฟุตบอลท้องถิ่นระดับเยาวชนของ กาน่า ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ บาเยิร์น มิวนิค ในอีก 2 ปี ต่อมา คุฟฟูร์ ระเบิดฟอร์มสุดยอดกับ "เสือใต้" โดยในช่วงเวลา 12 ปี ในถิ่น อัลลิอันซ์ อารีน่า เขานำ บาเยิร์น มิวนิค คว้าแชมป์บุนเดสลีกา 6 สมัย และ เดเอฟเบ โพคาล อีก 4 ครั้ง โดยเจ้าตัวได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองหลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของทวีปแอฟริกา พร้อมทั้งเคยคว้ารางวัลนักฟุตบอลแอฟริกันยอดเยี่ยมแห่งปี 2001 ของ บีบีซี คุฟฟูร์ ประสบความสำเร็จสูงสุดสมัยค้าแข้งกับ บาเยิร์น มิวนิค ในช่วงระหว่างปี 1993-2005 ได้แชมป์ลีก7 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 4 สมัย, เยอรมัน ลีกคัพ 5 สมัย และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย หลังจากนั้น คุฟฟูร์ ก็ย้ายไปเล่นในกัลโซ่ ซีรี่ส์อา กับทีมหมาป่า โรม่า และถูกสโมสรต้นสังกัดปล่อยให้ทีม อาแจ็กส์ อัมสเตอร์ดัม ยืมตัวไปเล่นแต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้จนสัญญาหมดลงจึงตัดสินใจแขวนสตั๊ด แม้จะมีทีมจากลีก ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ยื่นความจำนง อยากได้ตัวไปร่วมทีมก็ตาม จึง ตัดสินใจหันหลังให้กับวงการลูกหนังเมื่อออกมาประกาศแขวนสตั๊ด ด้วยวัย 32 หลังสัญญาหมดลงกับต้นสังกัด ซามูเอล คุฟฟูร์โด่งดังในช่วงปี1993-2006เมื่อเขาตัดสินใจที่จะแขวนสตั๊ดลง
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/ดีเอโก้ มาราโดน่า/เสือเตี้ยแห่งฟ้าขาว
เดียโก มาราโดนา
ข้อมูลส่วนตัว | ||
---|---|---|
ชื่อเต็ม | เดียโก อาร์มันโด มาราโดนา | |
วันเกิด | 30 ตุลาคม ค.ศ. 1960 (53 ปี) | |
สถานที่เกิด | ลานุส ประเทศอาร์เจนตินา | |
ส่วนสูง | 1.65 ม. (5 ฟุต 5 นิ้ว) | |
ตำแหน่ง | กองกลางตัวรุก / กองหน้าตัวต่ำ |
นักฟุตบอลอาชีพ
ในบทบาทนักฟุตบอลอาชีพ มาราโดนาเล่นให้กับสโมสรอาร์เคนตีโนสจูเนียส์, โบกาจูเนียส์, บาร์เซโลนา, นิวเอลล์โอลด์บอยส์ และนาโปลี ยังสร้างสถิติในเรื่องค่าสัญญาในระดับนานาชาติ เขาเล่นให้กับทีมอาร์เจนตินา 91 นัด ทำประตู 34 ประตู เขาเล่นในฟุตบอลโลก 4 ครั้ง โดยในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1986 เขานำทีมอาร์เจนตินาชนะทีมเยอรมันตะวันตกในรอบสุดท้าย และยังได้รับรางวัลลูกบอลทองคำในฐานะผู้เล่นยอดเยี่ยม ในการแข่งครั้งนี้ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เขาทำคะแนน 2 ประตู จากผล 2-1 เหนือทีมอังกฤษ โดยในประตูแรกเป็นที่รู้จักในชื่อ "ประตูหัตถ์พระเจ้า" ในขณะที่ประตูที่ 2 เป็นการครองลูกระยะ 60 เมตร เลี้ยงหลบผู้เล่นอังกฤษ 6 คน จนได้รับขนานนามว่า "ประตูแห่งศตวรรษ"จากหลายเหตุผล ทำให้มาราโดนาเป็น 1 ในนักกีฬาที่มีข้อขัดแย้งและเป็นที่ต้องการของนักข่าวมากที่สุดคนหนึ่ง เขาถูกพักการเล่นฟุตบอลเป็นเวลา 15 เดือนในปี ค.ศ. 1991 หลังจากตรวจพบว่าเขาเสพโคเคนในประเทศอิตาลี และถูกส่งกลับบ้านในฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกาหลังจากตรวจพบใช้สารอีเฟดรีน
หลังจากที่เขาเกษียณจากการเป็นนักเตะฟุตบอลในวันครบรอบอายุ 37 ปี ในปี ค.ศ. 1997[4] เขาทนทุกข์อาการป่วยมากขึ้นและน้ำหนักเพิ่ม และยังติดโคเคนอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 2005 หลังจากผ่าตัดท้องช่วยทำให้เขาควบคุมเรื่องน้ำหนักได้ หลังจากชนะจากการติดโคเคนได้เขาเป็นพิธีกรรายการชื่อดังในอาร์เจนตินา[5]
ผู้จัดการทีมฟุตบอลอาชีพ
มาราโดนาเคยรับงานคุมทีมอูร์รากัน (Hurracan) ในดิวิชัน 1 อาร์เจนตินา แต่ทำทีมจนตกชั้นตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ทำงาน เมื่อปี ค.ศ. 2009 มาราโดนาเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนตินา แต่กลับทำทีมหมิ่นเหม่ต่อการตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2010 เคราะห์ยังดีที่อาร์เจนตินาเอาชนะอุรุกวัยไป ได้ 1-0 ในนัดสุดท้ายของรอบคัดเลือก จึงผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ได้สำเร็จ เป็นเหตุให้มาราโดนาต่อว่านักข่าวที่เคยวิพากษ์วิจารณ์เขามาตลอด ทำให้สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ลงโทษแบนเขาสองเดือนด้วยกัน[6] เดือนมิถุนายน 2010 มาราโดนานำทีมชาติอาร์เจนตินาสู้ศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนจะแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมนี 0-4
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)