มิเชล พลาตินี่ “นโปเลียนลูกหนัง”
มิเชล พลาตินี (ยุค 1973-1987)
มิเชล พลาตินี (Michel Platini)
หากเอ่ยถึงชื่อนี้เชื่อว่าคงไม่มีแฟนลูกหนังคนไหนไม่รู้จัก
เนื่องจากปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่ง
ประธานสมาคมฟุตบอลยุโรป
หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า “
ยูฟา”
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อวงการฟุตบอลจริง ๆ
แต่ใครจะรู้ว่ากว่าที่พลาตินีจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนี้
เขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง
พลาตินีเป็นนักฟุตบอลชาว
ฝรั่งเศส
เริ่มอาชีพค้าแข้งอย่างเป็นทางการกับทีม
นองซ์ ในปี 1972
ก่อนจะได้ติดธงตราไก่ครั้งแรกในปี 1976 ซึ่งสมัยที่เป็นนักฟุตบอล
พลาตินีอยู่ในชุดที่พาฝรั่งเศสผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศศึกฟุตบอลโลกถึง 2 สมัย
และยังช่วยให้ฝรั่งเศสคว้า
แชมป์ฟุตบอลยูโรมาครองในปี 1984
ส่วนระดับสโมรสร หลังพลาตินีย้ายจากทีมนองซ์ไปร่วมทีม
แซงต์ เอเตียน ในปี
1979 และค้าแข้งที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี เขาก็ได้ย้ายไปร่วมงานกับทีม
“ม้าลาย”
จูเวนตุส ในศึก
กัลโช ซีรีเอ อิตาลี
ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาประสบความสำเร็จมาก
ด้วยการพาจูเวนตุสคว้า
แชมป์ยูโรเปียน คัพ และ
อินเตอร์คอนทิเนนทอล คัพ
พร้อมกันในปี 1985 เคยยิงประตูให้จูเวนตุส 68 ประตู จากการลงเล่น 147
นัดในเกมลีก
ยิ่งไปกว่านั้นพลาตินียังได้รับยกย่องว่าเป็นนักฟุตบอลที่มีเทคนิคในการส่ง
ลูกยอดเยี่ยมที่สุด รวมทั้งการเตะฟรีคิก
มิเชล พลาตินี่ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสผู้ยังมีชีวิตอยู่
และเป็นบุคคลระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้ว
ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางใน
ฐานะมิดฟิลด์ที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในโลกของ
ยุคเดียวกัน
พลาตินี่ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ
นองซี่-ลอร์เรน
ก่อนจะย้ายสู่ทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง
แซงต์ เอเตียง ที่ซึ่งมาประสบความสำเร็จ
คว้าแชมป์ ลีก สูงสุดเมื่อปี 1981
ปี 1982
ก้าวใหม่ของชีวิตที่ท้าทายกว่าเดิมเริ่มมาถึงเมื่อได้ย้ายไปหาประสบการณ์กับ
สโมสรในอิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรชั้นนำอย่าง
ยูเวนตุส
แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อจากการลงเล่น 147 เกม พลาตินี่ กระทุ้งประตูไป 68
ตุง ซึ่งจากตำแหน่ง
มิดฟิลด์ ถือว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา
ไม่เท่านั้น พ่อมดแห่งวงการลูกหนังรายนี้ยังนำโด่งเป็นดาวซัลโวของ
เซเรีย อา ถึง 3 สมัยซ้อน พลาตินี่
เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งให้ม้าลายแห่ง
ตูริน สคูเด็ตโต้,แชมป์
อิตาเลียน คัพ,
ยูโรเปี้ยน คัพ และ
คัพ วินเนอร์สคัพ
พลาตินี่ ได้รับมอบหมายเป็นกัปตันทีมชาติ ?ตราไก่? ฝรั่งเศส ลุยศึก
ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนคัพ เมื่อปี 1984
และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยตำแหน่งดาวซัลโวด้วยที่ 9 ประตู
นอกจากจี๊ดจ๊าดในตำแหน่งมิดฟิลด์แล้วการผ่านบอล ป้อนบอลของ พลาตินี่
ยังได้รับการยอมรับว่าเยี่ยมยอดอีกด้วย
รวมถึงการยิงประตูที่หาได้ไม่มากนักจากนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์
แล้วเป็นดาวยิงแบบนี้
เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานนักเตะอังกฤษ ได้กล่าวถึง พลาตินี่ ไว้ว่า ?เขาจบสกอร์ได้คมมากๆแม้จะมีช่องอยู่นิดเดียวเท่ารูเข็มก็ตาม?
ในด้านการ
ปั่นฟรีคิก ถ้าให้เทียบกับสมัยนี้
เดวิด เบ็คแฮม
ยังอายเลยทีเดียว พลาตินี่
สามารถปั่นบอลให้โค้งหนีกำแพงและหนีมือผู้รักษาประตูได้อย่างน่าอัศจรรย์
ซึ่งการซ้อมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษใช้หุ่นตั้งเป็นแถวเหมือนกับที่คนอื่นทำกัน
หลายท่านคงเคยได้ยินชื่อเสียงและคงจดจำความคลาสิกของทีมชาติฝรั่งเศส
ชุดแชมป์ยูโร 84 และ
ฟุตบอลโลกปี 86 ได้เป็นอย่างดี
และหนึ่งนักเตะในตำนานชุดนั้นต้องเป็นใครไม่ได้ นอกจาก “นโปเลียนลูกหนัง”
มิเชล พลาตินี่ จอมทัพคนเก่งของทีมชาติฝรั่งเศส
ซึ่งถือเป็นยอดนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกและของฝรั่งเศส
และได้ฝากผลงานทั้งในระดับชาติและสโมสรมามากมาย
พลาตินี่เป็นชาวเมือง
โลธริงเก้น เกิดเมื่อวันที่ 21
มิ.ย.1955 ตั้งแต่เด็กพลาตินี่ชื่นชอบในกลิ่นสาบลูกหนังมาตลอด
และได้ลงเล่นให้สโมสรท้องถิ่น ในช่วงปี 1966-1972 และที่นี่
เขาได้พื้นฐานสำคัญในความสามารถยอดเยี่ยมของเขาในการเตะลูก
ฟรีคิก
การเล่นลูกนิ่งของพลาตินี่
เป็นความสามารถที่จะหาผู้ใดมาหลอกเลียนแบบได้
และ
ยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าในการเล่นได้อีกทำให้เขากลายเป็นอัจฉิยะแห่งวง
การฟุตบอลไปเลย และวันที่ 2 พ.ค. 1973 ด้วยวัยเพียง 17 ปี พลาตินี่
สามารถลงเตะในทีมชุดใหญ่ของสโมสร
น็องซี่ เป็นครั้งแรก
และย้ายไปอยุ่กับ
แซงเอเตียน ก่อนจะย้ายไปโด่งดังสุดขีดกับทีม ม้าลาย
ยูเวนตุส จากอิตาลี ในปี 1982 และสามารถคว้าแชมป์ต่างๆได้มากมาย
ส่วนการเล่นในระดับชาตินั้น พลาตินี่ติดทีมชาติครั้งแรก
เมื่อปี 1976 ในการลงเตะกับทีมชาติ
เชกโกสโลวาเกีย(ทีมชาติเชกในปัจจุบัน)
และติดทีมชาติไปเล่น
บอลโลกปี 1978 ที่
อาร์เจนติน่า แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว
ใน
ฟุตบอลโลก ปี 1982ที่ประเทศ
สเปน พลาตินี่ ยังคงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
พาทีมชาติฝรั่งเศส เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ดวลแข้งกับทีมชาติ
เยอรมันตะวันตก
ฝรั่งเศสนำก่อน 3-1 แต่ก็ถูกทีมอินทรีเหล็กตีเสมอ
และดวลจุดโทษพ่ายไปในอย่างเจ็บปวดที่สุด
แต่ในอีกสองปีต่อมา พลาตินี่ นำทัพฝรั่งเศส
ลงทำศึกฟุตบอล
ยูโร 84 ที่ ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ คราวนี้ทีมของพลาตินี่
ประสบความสำเร็จสูงสุด โดยการคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่
ด้วยการชนะทีมชาติสเปน ไปอย่างสบายๆ 2-0 และพลาตินี่
ยังสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการเป็นดาวซัลโว ประจำทัวร์นาเมนต์นี้
ด้วยจำนวนประตู ถึง 9 ลูกด้วยกัน และหลังจากนั้น ทีมชาติฝรั่งเศส
ก็ยังเป็นตัวเต็ง ต้นๆใน
ฟุตบอลโลกปี 86 ที่ประเทศเม็กซิโก
ผลงานในครั้งนี้ฝรั่งเศสเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ม โดยเฉพาะนัดเจอ กับแซมบ้า
บราซิลในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ถือว่าเป็นแมตช์คลาสสิกอีกนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก
ซึ่งทั้งสองทีมเล่นกันด้วยเกมรุกเต็มรูปแบบแม้ว่าบราซิลจะนำก่อน
แต่พลาตินี่ ก็เป็นผู้ตีเสมอ ให้กับทีม ก่อนจะดวลจุดโทษชนะไปอย่างสุดมันส์
แม้ในท้ายที่สุดฝรั่งเศสจะไปได้แค่รอบรองชนะเลิศ
แต่การเล่นอันยอดเยี่ยมของพลาตินี่และทีมชาติฝรั่งเศส
ยังติดตาแฟนบอลทั่วโลก ไม่มีวันลืมเลือน
พลาตินี่ จบชีวิตเล่นฟุตบอลให้กับทีม
ชาติ หลังจากนัดที่เอาชนะไอซ์แลนด์ไปได้ 2-0 ในวันที่ 29 เม.ย. 1987
และประกาศเลิกเล่นให้กับทีม
ยูเวนตุส ในปีเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 31 ปี
และเขาได้กล่าวว่า ” ผมได้ตายจากโลกไปเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 1987″ แต่ในปี
1988 พลาตินี่
เข้ามารับตำแหน่งทีมเชฟของทีมชาติฝรั่งเศสและพาทีมลุย
ฟุตบอลยูโร 88 และ
92
ก่อนจะอำลาทีมในที่สุด และพลาตินี่ได้รับการยกย่องว่า
เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่งและเป็นดาวเตะตลอดกาลของทีมชาติ
ฝรั่งเศสอีกด้วย
ปัจจุบัน พลาตินี่ดำรงตำแหน่ง
รองประธานฟุตบอลของฝรั่งเศสและสมาชิกคณะกรรมการ
ยูฟ่า
เกียรติประวัติของพลาตินี่
ระดับชาติ ติดทีมชาติ 72 ครั้ง ยิง 41 ประตู
อันดับ3ฟุตบอลโลก ปี 1982,1986
แชมป์ยุโรป ปี 1984
ระดับสโมสร แชมป์กัลโช่เซเรียอา ปี 1984,1986 (ยูเวนตุส)
แชมป์โคปปาอิตาเลีย ปี 1983 (ยูเวนตุส)
แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ปี 1985 (ยูเวนตุส)
แชมป์คัพวินเนอร์คัพ ปี 1984 (ยูเวนตุส)
แชมป์ฝรั่งเศส ปี 1981 (แซงต์เอเตียน)
แชมป์เฟร้นช์คัพ ปี 1978 (แซงต์เอเตียน)
พลาตินี่เคยได้รับเลือกเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป (
บัลลงดอร์) ถึง 3 สมัยติดต่อกันด้วยในปี 1983,84 และ 85