วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/สเตฟาน ชาปุยส์ซา/ยอดกองหน้าแห่งทีมนาฬิกา

อดีตจอมถล่มประตูทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ย้ายมาร่วมทัพ “เสือเหลือง” ดอร์ทมุนด์ ในปี 1991 ก่อนจะค้าแข้งในถิ่น เวสต์ฟาเล่น สตาดิโอน ถึง 8 ฤดูกาล แค่ฤดูกาลแรกเจ้าตัวก็เกือบคว้าตำแหน่งดาวซัลโว บุนเดสลีกา ไปครองได้แล้ว น่าเสียดายที่ดาวยิงจากแดนนาฬิกายิงน้อยกว่า ฟริตซ์ วอลเตอร์ ของ เฟาเอฟเบ สตุ๊ตการ์ต แชมป์ บุนเดสลีกา ฤดูกาลนั้นไปเพียง 2 ประตู แต่เมื่อรวมเบ็ดเสร็จแล้ว ชาปุยซาต์ ทำประตูในสีเสื้อของ ดอร์ทมุนด์ ไปถึง 102 ประตูจาก 218 เกม โดยที่ประตูที่ทำได้ทั้งหมดมาจากการยิงจุดโทษแค่ 2 ประตูเท่านั้น เฉลี่ยแล้ว ชาปุยซาต์ ทำประตูได้ 0.47 ประตูต่อเกม รั้งอันดับ 4 ของตารางดาวซัลโวตลอดกาลของ “ชวาร์ซ-เกลเบ้น” ประตูของเขามีส่วนให้ ดอร์ทมุนด์ กวาดแชมป์มาได้ 7 รายการ ได้แก่ บุนเดสลีกา 2 สมัย, เดเอฟเบ ซูเปอร์คัพ 2 สมัย, ยูเอฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ 1 สมัย และรองแชมป์ ยูเอฟ่า คัพ ปี 92-93 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอล “เสือเหลือง” จะรักจอมถล่มประตูคนนี้มากๆ
ติด1/50คน การซื้อตัวที่สูงสุดในบุนเดสลิกา(ที่ติดๆก็จะมีเช่น มาร์โค ร็อยส์ โจวานนี่ เอลแบร์ เควิน คีแกน เป็นต้น)
ชาปุยส์ซา แขวนสตั๊ดหลังจบบอลโลกปี1994 รุ่งเรื่องมากในสมัยอยู่กับ "เสือเหลือง"ในช่วงฤดูกาล1996-97

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/เจย์ เจย์ โอโคชา/โรนัลดินโญ่แห่งอินทรีมรกต

ทักษะอันครบเครื่อง เทคนิคเกินขาด คล่องแคล่วว่องไว เซนต์ฟุตบอลที่เหลือเชื่อ สิ่งเหล่านี้ ล้วนอยู่ในตัวของชายที่ชื่อ เจย์ เจย์ โอโคชา มิดฟิลด์ระดับตำนานแห่ง ดินแดนมรกต ไนจีเรีย

เริ่มต้นค้าแข้งอย่างเป็นทางการในลีก เยอรมัน


   ออกุสติน โอโคชา เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 1973 ที่อีนูกู ประเทศไนจีเรีย ทางแถบแอฟริกัน เริ่มเล่นให้กับทีมของเยอรมัน โบรุสเชีย เนินเคอเชน หลังจากนั้นย้ายสู่ ไอแทรก แฟร้งเฟิร์ส ตามลำดับ
โอโคชามีความคล่องตัว ความเร็วที่เหลือร้าย หลังจากย้ายไปเล่นในดินแดนตุรกี ให้กับ สโมสร เฟเนบาเช่ และสร้างฟอร์มการเล่นที่สุดยอดจนเป็นที่จับตาของบรรดาทีมยักษ์ใหญ่หลายๆ ทีม


ตัวเล็ก ลีลาร้าย สำหรับ ออกุสติน
 และแล้ว ก็เป็นสโมสรจากเมืองปารีส เปแอสเช ปารีสแซงค์แชร์แมง ที่ทำสถิติ การย้ายตัวของนักเตะแอฟริกันสูงสุด ณ ตอนนั้น โดยการดึง โอโคชาเข้าสู่ทีม




หลังจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น โอโคชา ถูกปล่อยตัวฟรีจากปารีสแซงแชงแมง หลังอยู่กับทีม มา 4 ฤดูกาล เพื่อเข้าสู่ทีม โบลตันวันเดอเรอร์ ในลีกของอังกฤษ และ กลายเป็นขวัญใจของเดอะทร็อตเตอร์ในที่สุด



ชีวิตบั้นปลายการค้าแข้ง โอโคชาเลือกหาประสบการณ์อันแปลกใหม่ ที่ กาตาร์ เอสซี และ สโมสรสุดท้ายคือ ฮัลล์ ซิตี้ ก่อนประกาศเลิกเล่นฟุตบอลในที่สุด


กาตาร์เอสซี และ จบสุดท้ายที่ ฮัลล์ซิตี้ ยุติ 454 เกมส์ตลอดชีวิตการค้าแข้ง
แฟนบอลพรีเมียร์ต่างรู้จักเขาดี หลังช่วยโบลตันในการต่อสู้บนเวทีพรีเมียร์ลีก 
ในนามทีมชาติ โอโคชา รับบทบาทเป็นจอมทัพให้กับทีม อินทรีย์มรกตไนจีเรียมาโดยตลอด โดยสวมเสื้อหมายเลข 10 รับบทสวมปลอกแขนกัปตันทีม และ มีความเป็นผู้นำอย่างสูง โดยลงสนามให้ทีมชาติ 75 นัดทำได้ 14 ประตู  โดยสามารถพาทีมไนจีเรีย เข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก ได้ 2 สมัยนั่นคือในปี 1994 และ ฟร็องส์ 98 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ
เจย์ เจย์ โอโคชา ถูกรับเลือกจากเปเล่ตำนานนักเตะบราซิลชื่อดังในอดีตให้ติด1ใน100คน นักเตะในตำนานด้วย หรือที่เรียกกันว่า ฟีฟ่า100
     หากเรานึกถึงชื่อโอโคชา เราคงต้องนึกถึง ลีลาการเล่นฟุตบอลอันสวยงาม และ ทักษะอันเหลือร้าย น่าเสียดายเหลือเกิน ที่ปัจจุบัน จะหาใครที่เล่นฟุตบอลได้ เอนเตอร์เทน คนดู ไปมากกว่าเขา  โดยไม่หวังผลการแข่งขัน  จะหาได้ไหมหนอ ...


วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/เปาโล วันโชเป้/กองหน้าแห่งกล้วยหอม

 
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเอ่ยชื่อแข้งกล้วยหอมที่ดังที่สุด ชื่อที่แฟนบอลส่วนใหญ่นึกออกย่อมหนีไม่พ้น เปาโล วันโชเป้ ดาวยิงก้านยาวจอมพเนจร ตลอดระยะเวลาค้าแข้งของเขา เขาลงให้ทั้งหมด 10 สโมสร ซึ่งสโมสรแรกที่เขาเริ่มเล่นนั้น คือสโมสร เฮียดิอาโน่ จากคอสตาริกาพรีเมียร์ลีก สืบจากประวัติไม่พบว่า เขาลงให้ทีมอยู่กี่นัด แต่ยิงได้ทั้งหมด 20 ประตู เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจนกระทั่งทีมเล็กๆในเกาะอังกฤษอย่างดาร์บี้ เคาน์ตี้ ซื้อตัวเขาไปร่วมทีม ที่เขาเคยโซโล่เดี่ยวเข้าไปซัดแสกหน้า ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล มาแล้วในเกมดาร์บี้แมตช์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
        เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ตืออีกทีมที่เห็นศักยภาพของเขา และซื้อเขาไปร่วมทีมในราคา 3.5 ล้านปอนด์ แต่ทำผลงานได้ไม่ดีนัก จนกระทั่งถูกขายให้กับกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
        กับทีม"เรือใบสีฟ้า" เขาสามารถระเบิดฟอร์มกระฉูดออกมาได้ ยิงไป 12 ประตูจาก 15 นัด แต่หลังจากนั้น เขามีอาการบาดเจ็บ ทำให้ลงสนามได้น้อยลง
จากนั้นในปี 2004 วันโชเป้ ย้ายไปเล่นที่ต่างแดนในลา ลีกา สเปน กับ มาลาก้า แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก จนมีข่าวว่า บางสโมสรในลีกผู้ดี สนใจดึงเขากลับมาวาดลวดลายในถิ่นสร้างชื่ออีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีความคืบหน้า และ วันโชเป้ ย้ายไปขุดทองที่ลีกตะวันออกกลางใน กาตาร์ กับทีม อัล การาฟา ในที่สุด อย่างไรก็ดี แม้ไม่ประสบความสำเร็จที่ สเปน แต่ลูกยิงสุดเหนือชั้นในเกมกับ นูมานเซีย ได้รับการโหวตให้เป็นประตูยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2004-05 ของ สเปน โดย อีเอสพีเอ็น
ส่วนผลงานกับทีมชาติคอสตาริกา วันโชเป้ ถือเป็นสตาร์ประจำทีม อยู่ในทีมชุดลุยบอลโลก 2002 ที่ เกาหลีใต้ / ญี่ปุ่น รวมถึงช่วยทีมในทัวร์นาเมนต์อย่าง โกลด์ คัพ หลายสมัย ขณะเดียวกัน เกมเจอ อเมริกา วันที่ 8 ตุลาคม 2005 มีความหมายส่วนตัวสำหรับ วันโชเป้ วัย 29 ปี เพราะประตูที่ทำได้ในเกมเอาชนะ อเมริกา 3-0 นั้น ทำให้เขากลายเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติ ด้วยผลงาน 43 ลูก จาก 67 เกม
                            

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/มิเชล พลาตินี่/,มิดฟิลด์ในตำนานแห่งแดนน้ำหอม

มิเชล พลาตินี่ “นโปเลียนลูกหนัง”
มิเชล พลาตินี (ยุค 1973-1987)
มิเชล พลาตินี (Michel Platini) หากเอ่ยถึงชื่อนี้เชื่อว่าคงไม่มีแฟนลูกหนังคนไหนไม่รู้จัก เนื่องจากปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า “ยูฟา” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อวงการฟุตบอลจริง ๆ แต่ใครจะรู้ว่ากว่าที่พลาตินีจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนี้ เขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง
พลาตินีเป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เริ่มอาชีพค้าแข้งอย่างเป็นทางการกับทีมนองซ์ ในปี 1972 ก่อนจะได้ติดธงตราไก่ครั้งแรกในปี 1976 ซึ่งสมัยที่เป็นนักฟุตบอล พลาตินีอยู่ในชุดที่พาฝรั่งเศสผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศศึกฟุตบอลโลกถึง 2 สมัย และยังช่วยให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรมาครองในปี 1984
ส่วนระดับสโมรสร หลังพลาตินีย้ายจากทีมนองซ์ไปร่วมทีมแซงต์ เอเตียน ในปี 1979 และค้าแข้งที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี เขาก็ได้ย้ายไปร่วมงานกับทีม “ม้าลาย” จูเวนตุส ในศึกกัลโช ซีรีเอ อิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาประสบความสำเร็จมาก ด้วยการพาจูเวนตุสคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ และอินเตอร์คอนทิเนนทอล คัพ พร้อมกันในปี 1985 เคยยิงประตูให้จูเวนตุส 68 ประตู จากการลงเล่น 147 นัดในเกมลีก ยิ่งไปกว่านั้นพลาตินียังได้รับยกย่องว่าเป็นนักฟุตบอลที่มีเทคนิคในการส่ง ลูกยอดเยี่ยมที่สุด รวมทั้งการเตะฟรีคิก
มิเชล พลาตินี่ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสผู้ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นบุคคลระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้ว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะมิดฟิลด์ที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในโลกของ ยุคเดียวกัน
พลาตินี่ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ นองซี่-ลอร์เรน ก่อนจะย้ายสู่ทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง แซงต์ เอเตียง ที่ซึ่งมาประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ ลีก สูงสุดเมื่อปี 1981
ปี 1982 ก้าวใหม่ของชีวิตที่ท้าทายกว่าเดิมเริ่มมาถึงเมื่อได้ย้ายไปหาประสบการณ์กับ สโมสรในอิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรชั้นนำอย่าง ยูเวนตุส แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อจากการลงเล่น 147 เกม พลาตินี่ กระทุ้งประตูไป 68 ตุง ซึ่งจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ถือว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา
ไม่เท่านั้น พ่อมดแห่งวงการลูกหนังรายนี้ยังนำโด่งเป็นดาวซัลโวของ เซเรีย อา ถึง 3 สมัยซ้อน พลาตินี่ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งให้ม้าลายแห่งตูริน สคูเด็ตโต้,แชมป์ อิตาเลียน คัพ,ยูโรเปี้ยน คัพ และ คัพ วินเนอร์สคัพ
พลาตินี่ ได้รับมอบหมายเป็นกัปตันทีมชาติ ?ตราไก่? ฝรั่งเศส ลุยศึก ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนคัพ เมื่อปี 1984 และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยตำแหน่งดาวซัลโวด้วยที่ 9 ประตู    

นอกจากจี๊ดจ๊าดในตำแหน่งมิดฟิลด์แล้วการผ่านบอล ป้อนบอลของ พลาตินี่ ยังได้รับการยอมรับว่าเยี่ยมยอดอีกด้วย รวมถึงการยิงประตูที่หาได้ไม่มากนักจากนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ แล้วเป็นดาวยิงแบบนี้
เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานนักเตะอังกฤษ ได้กล่าวถึง พลาตินี่ ไว้ว่า ?เขาจบสกอร์ได้คมมากๆแม้จะมีช่องอยู่นิดเดียวเท่ารูเข็มก็ตาม?
ในด้านการปั่นฟรีคิก ถ้าให้เทียบกับสมัยนี้ เดวิด เบ็คแฮม ยังอายเลยทีเดียว พลาตินี่ สามารถปั่นบอลให้โค้งหนีกำแพงและหนีมือผู้รักษาประตูได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งการซ้อมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษใช้หุ่นตั้งเป็นแถวเหมือนกับที่คนอื่นทำกัน
หลายท่านคงเคยได้ยินชื่อเสียงและคงจดจำความคลาสิกของทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์ยูโร 84 และฟุตบอลโลกปี 86 ได้เป็นอย่างดี และหนึ่งนักเตะในตำนานชุดนั้นต้องเป็นใครไม่ได้ นอกจาก “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ จอมทัพคนเก่งของทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นยอดนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกและของฝรั่งเศส และได้ฝากผลงานทั้งในระดับชาติและสโมสรมามากมาย
พลาตินี่เป็นชาวเมืองโลธริงเก้น เกิดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.1955 ตั้งแต่เด็กพลาตินี่ชื่นชอบในกลิ่นสาบลูกหนังมาตลอด และได้ลงเล่นให้สโมสรท้องถิ่น ในช่วงปี 1966-1972 และที่นี่ เขาได้พื้นฐานสำคัญในความสามารถยอดเยี่ยมของเขาในการเตะลูกฟรีคิก
การเล่นลูกนิ่งของพลาตินี่ เป็นความสามารถที่จะหาผู้ใดมาหลอกเลียนแบบได้ และยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าในการเล่นได้อีกทำให้เขากลายเป็นอัจฉิยะแห่งวง การฟุตบอลไปเลย และวันที่ 2 พ.ค. 1973 ด้วยวัยเพียง 17 ปี พลาตินี่ สามารถลงเตะในทีมชุดใหญ่ของสโมสรน็องซี่ เป็นครั้งแรก และย้ายไปอยุ่กับแซงเอเตียน ก่อนจะย้ายไปโด่งดังสุดขีดกับทีม ม้าลาย ยูเวนตุส จากอิตาลี ในปี 1982 และสามารถคว้าแชมป์ต่างๆได้มากมาย
ส่วนการเล่นในระดับชาตินั้น พลาตินี่ติดทีมชาติครั้งแรก เมื่อปี 1976 ในการลงเตะกับทีมชาติเชกโกสโลวาเกีย(ทีมชาติเชกในปัจจุบัน) และติดทีมชาติไปเล่นบอลโลกปี 1978 ที่อาร์เจนติน่า แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว ในฟุตบอลโลก ปี 1982ที่ประเทศสเปน พลาตินี่ ยังคงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม พาทีมชาติฝรั่งเศส เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ดวลแข้งกับทีมชาติเยอรมันตะวันตก ฝรั่งเศสนำก่อน 3-1 แต่ก็ถูกทีมอินทรีเหล็กตีเสมอ และดวลจุดโทษพ่ายไปในอย่างเจ็บปวดที่สุด
แต่ในอีกสองปีต่อมา พลาตินี่ นำทัพฝรั่งเศส ลงทำศึกฟุตบอลยูโร 84 ที่ ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ คราวนี้ทีมของพลาตินี่ ประสบความสำเร็จสูงสุด โดยการคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการชนะทีมชาติสเปน ไปอย่างสบายๆ 2-0 และพลาตินี่ ยังสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการเป็นดาวซัลโว ประจำทัวร์นาเมนต์นี้ ด้วยจำนวนประตู ถึง 9 ลูกด้วยกัน และหลังจากนั้น ทีมชาติฝรั่งเศส ก็ยังเป็นตัวเต็ง ต้นๆในฟุตบอลโลกปี 86 ที่ประเทศเม็กซิโก ผลงานในครั้งนี้ฝรั่งเศสเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ม โดยเฉพาะนัดเจอ กับแซมบ้า บราซิลในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ถือว่าเป็นแมตช์คลาสสิกอีกนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ซึ่งทั้งสองทีมเล่นกันด้วยเกมรุกเต็มรูปแบบแม้ว่าบราซิลจะนำก่อน แต่พลาตินี่ ก็เป็นผู้ตีเสมอ ให้กับทีม ก่อนจะดวลจุดโทษชนะไปอย่างสุดมันส์ แม้ในท้ายที่สุดฝรั่งเศสจะไปได้แค่รอบรองชนะเลิศ แต่การเล่นอันยอดเยี่ยมของพลาตินี่และทีมชาติฝรั่งเศส ยังติดตาแฟนบอลทั่วโลก ไม่มีวันลืมเลือน         

พลาตินี่ จบชีวิตเล่นฟุตบอลให้กับทีม ชาติ หลังจากนัดที่เอาชนะไอซ์แลนด์ไปได้ 2-0 ในวันที่ 29 เม.ย. 1987 และประกาศเลิกเล่นให้กับทีมยูเวนตุส ในปีเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 31 ปี และเขาได้กล่าวว่า ” ผมได้ตายจากโลกไปเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 1987″ แต่ในปี 1988 พลาตินี่ เข้ามารับตำแหน่งทีมเชฟของทีมชาติฝรั่งเศสและพาทีมลุยฟุตบอลยูโร 88 และ 92 ก่อนจะอำลาทีมในที่สุด และพลาตินี่ได้รับการยกย่องว่า เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่งและเป็นดาวเตะตลอดกาลของทีมชาติ ฝรั่งเศสอีกด้วย
ปัจจุบัน พลาตินี่ดำรงตำแหน่งรองประธานฟุตบอลของฝรั่งเศสและสมาชิกคณะกรรมการยูฟ่า
เกียรติประวัติของพลาตินี่
ระดับชาติ ติดทีมชาติ 72 ครั้ง ยิง 41 ประตู
อันดับ3ฟุตบอลโลก ปี 1982,1986
แชมป์ยุโรป ปี 1984
ระดับสโมสร แชมป์กัลโช่เซเรียอา ปี 1984,1986 (ยูเวนตุส)
แชมป์โคปปาอิตาเลีย ปี 1983 (ยูเวนตุส)
แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ปี 1985 (ยูเวนตุส)
แชมป์คัพวินเนอร์คัพ ปี 1984 (ยูเวนตุส)
แชมป์ฝรั่งเศส ปี 1981 (แซงต์เอเตียน)
แชมป์เฟร้นช์คัพ ปี 1978 (แซงต์เอเตียน)
พลาตินี่เคยได้รับเลือกเป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรป (บัลลงดอร์) ถึง 3 สมัยติดต่อกันด้วยในปี 1983,84 และ 85