ฤดูกาล 2013-14 ฤดูกาลที่น่าจดจำ
ลุยส์ ซัวเรซ โดนแบน 6 นัดแรก จากกรณีกัดแขน อีวานอวิช เมื่อเดือนเมษายน
ที่ผ่านมา ต่อมา ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2013
ซัวเรซได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากพ้นโทษแบน 10 นัด ในนัดที่
ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
คู่ปรับตลอดกาล ในลีกคัพ รอบ 3 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1
ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ ลีกคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน
ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกนัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล
บุกไปเยือนที่ สเตเดียมออฟไลต์ เจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ได้ยิง 2
ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 5 ตุลาคม
ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล
เปิดบ้านเอาชนะ
คริสตัลพาเลซ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่
เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2 ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 4 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ
เวสต์บรอมมิชอัลเบียน
4-1 ต่อมา ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้
ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ฟูลัม 4-0 ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ.
2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน
ที่ กูดิสันพาร์ก 3-3 ต่อมา ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ
ได้ทำแฮตทริกที่ 5 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 4 ประตูให้
ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ นอริชซิตี 5-1 ทำให้ ซัวเรซ สร้างประวัติศาสตร์
เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล
ที่ทำแฮตทริกใส่คู่ต่อสู้ทีมเดียวกันได้ถึงสามครั้ง ต่อมา ในวันที่ 7
ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ
เวสต์แฮมยูไนเต็ด
4-1 ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม
ลิเวอร์พูล แทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ไม่ได้ลงสนามและได้ยิง 2 ประตูให้
ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่
ไวต์ฮาร์ตเลน
5-0 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ
คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล หรือ FSF
Award โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่เอมิเรตส์ สเตเดียม สนามของอาร์เซนอล
[24]
ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้รับการต่อสัญญาจากสโมสรออกไปอีก
จนถึง ปี 2018 และรับค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 200,000
ปอนด์ต่อสัปดาห์ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของประวัติ
ศาสตร์ของสโมสร ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2
ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3-1
ทำให้ ซัวเรซ
เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 10 ประตูในเดือนเดียว ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้
ซัวเรซ
ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนธันวาคม ของ พรีเมียร์ลีก
โดยยิงได้ 10 ประตูจาก 7 นัด
ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2014 นัดแรกของปี 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ
ฮัลล์ซิตี 2-0 ต่อมา ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่
บริแทนเนียสเตเดียม
5-3 ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 23
ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0 ต่อมา
ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก
และทำประตูที่ 24 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่
เซนต์แมรีส์สเตเดียม
3-0 ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 25
ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่
โอลด์แทรฟฟอร์ด 3-0 ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ
ได้ทำแฮตทริกที่ 6 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 3 ประตูให้
ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่
คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม
6-3 ต่อมา ในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 29
ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-0
ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนมีนาคม
ของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด
[25]
ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 30
ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่ แคร์โรว์โรด 3-2
ทำให้ ซัวเรซ
เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 30 ประตู
ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก เอียน รัช
ที่ทำได้ในปี 1987 และเป็นนักเตะคนที่ 7 ที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 30
ประตู ในฤดูกาลเดียว ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014
ซัวเรซ
คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ)
ประจำฤดูกาล 2013-14 ส่งผลให้
ซัวเรซ
เป็นนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้คนแรกที่ได้รางวัลนี้ไปครอง และเป็นนักเตะคนที่
6 ของ ลิเวอร์พูล ที่ได้รับรางวัลนี้[26]
ต่อมา ซัวเรซ
ได้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ
(เอฟดับเบิ้ลยูเอ) ไปอีกหนึ่งรางวัล ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2014
ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่
เซลเฮิสต์พาร์ก
เจอกับ คริสตัลพาเลซ ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล
จะต้องชนะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ซิตี
โดย ซัวเรซ
ได้ยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล ออกนำ 3-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล
โดนตีเสมอในช่วงท้าย ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 3-3 หลังจบเกม ซัวเรซ
ก้มหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง ทำให้ โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ของ
ลิเวอร์พูล เหลือน้อยมาก
ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ
คว้าสามรางวัลของสโมสรลิเวอร์พูล ได้แก่
รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี
จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล, รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี
จากการโหวตของแฟนๆ และ
รางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี จากลูกวอลเลย์ระยะ 40
หลา ในเกมกับ นอริชซิตี เมื่อเดือนธันวาคม จากงานประกาศรางวัล Players’
Awards Dinner ปี 2014 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ ศูนย์ประชุม Liverpool
ACC Conference Centre
[27]
ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดรัง
แอนฟีลด์ เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ
นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ
แมนเชสเตอร์ซิตี ที่ เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี
เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้
ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย จบฤดูกาล ซัวเรซ
ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 31 ประตู จาก 33 นัด
[28] ทำให้ ซัวเรซ
คว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก และ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2013-14 ไปครอง
[29] และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009
[30] รวมทั้ง ซัวเรซ
ได้รางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป ร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด นักเตะของ เรอัลมาดริด ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนที่ 2 ของลิเวอร์พูล ที่ได้รางวัลนี้ต่อจาก เอียน รัช ในฤดูกาล 1983-84
[31]