วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

Our Captain All Time (A)

                                                            Our Captain all time
Current club  
Liverpool FC
 Position Central Midfield

 Main position:

Central Midfield
Secondary positions:
Attacking Midfield
Defensive Midfield

Nationality England                        

                   
Contract until 30.06.2015
                                  

Player data
Name in home country: Steven George Gerrard
Date of birth: May 30, 1980
Place of birth: Whiston  England
Age: 34
Height: 1,83 m
Nationality: England  England
Position: Midfield - Central Midfield
Foot: right
Players' agents: WMG Management (SFX Sports)
In the team since: Aug 1, 1998
Contract until: 30.06.2015
outfitter: adidas
Further information
Steven Gerrard is the Cousin of Anthony Gerrard (Oldham Athletic).

Transfer history
All the player's transfers.
Season Date Moving from Moving to MV Loan Transfer fee
15/16 Jul 1, 2015 Liverpool FC Los Angeles Galaxy 3,52 Mill. £
Free transfer
98/99 Aug 1, 1998 Liverpool FC U18 Liverpool FC -
-
Total transfer proceeds:       0

junior clubs

Whiston Juniors (–1989), FC Liverpool (1989–1998)
Performance data 14/15
CompetitionApps Goals Assits Yellow Cards Yellow/Red  Cards Red Cards Minutes Played








            
    

       







   










24616-11.800'
62-1--472'
3--2--278'
22----180'

Performance per club
Club(s)  Apps Goals Assits
Liverpool FC 681 177 100









































































วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We will remember you!!! (8)


ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมกับนักเตะเลือดอุรุกวัยคนนี้นั้น ตอนแรกที่เขามาสู่ลิเวอร์พูลใหม่ๆในช่วงปี2011นั้น เขายังโชว์ฝีเท้าออกมาไม่โดดเด่นนัก(ถ้าเทียบกับตอนนี้และแน่นอนตอร์เรสศูนย์หน้าคนก่อนเขา) แต่ต้องยอมรับว่าการมาของเขาทำให้ลิเวอร์พูลกระโดดจากอันดับ12แล้วไปจบอันดับ6ตอนจบฤดูกาลได้อย่างไม่น่าเชื่อ   
สมัยอยู่สโมสร นาซิอองนาล


 หลุยส์ ซัวเรส เป็นนักเตะที่เพียบพร้อมหากจะเทียบกับศูนย์หน้าคนก่อนอย่าง เอลนินโญ่ เฟร์นานโด ตอร์เรส ศูนย์หน้าหน้าคมของสเปน  ซัวเรสถูกเคนนี่ ดัลกริชดึงตัวเข้ามาเล่นในสมัยที่เป็นโค้ชคุมลิเวอร์พูลช่วงนั้น  โดยซื้อตัวมาระหว่างที่ถูกโทษแบนในลีกฮอลแลนด์จากกรณีไปกัดไหล่ของผู้เล่นคนหนึ่งในระหว่างการแข่งขัน   และให้สวมเสื้อเบอร์7(คนก่อนเขาคือHarry Kewellซึ่งย้ายสโมสรไปแล้ว)เหมือนกับเขา ซึ่งเคยสวมใส่มันล่าตาข่ายมาก่อน
ที่บอกว่าเพียบพร้อมนั้น ไม่ใช่หน้าตา หมายถึงฝีเท้า แน่นอนว่า เฟร์นานโด ตอร์เรสกับหลุยส์ ซัวเรสนั้นฝีเท้าไม่ต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการลากเลื้อย หลบหลีกผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามได้เก่งไม่แพ้กัน จังหวะการจบสกอร์ก็มีความคมไม่แพ้กัน
แต่ซัวเรสสิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากตอร์เรสอย่างเห็นได้ชัด คือ วิธีการเข้าทำและจบสกอร์
หลุยส์ ซัวเรสดาวยิงอุรุกวัยคนนี้มีวิธีการส่วนตัวของเขาในการเข้าทำสกอร์ที่หลากหลายกว่า แม้บางครั้งจะเหมือนเขาเล่นตุกติก เล่นผิดกติกาบ้าง สิ่งนี้แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีนักสำหรับวิชาชีพฟุตบอลเลย แต่ถ้าหากพูดถึงเฉพาะวิธีการเข้าทำสกอร์ที่ชาญฉลาดของเขา ที่สะอาดละก็ พูดได้เต็มปากเลยว่า เขาดีกว่าตอร์เรส
เขาทำประตูจากลูกโหม่งได้ดีไม่แพ้เท้า เขาปั่นฟรีคิกเข้าไปได้ไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูกชนิดหลังๆจอมปั่นฟรีคิกอย่างกัปตันเจอราดยังอาย!!!


 นอกจากนี้ ระยะหลังๆ ซัวเรสยังไม่ค่อยหวงบอลนัก  จังหวะที่ต้องลงไปช่วยกองหลังเขาก็ไป  จังหวะที่ต้องพาสลูกไปให้เพื่อนคนอื่นทำสกอร์ เขาก็สามารถทำได้  การันตีด้วยเจ้าของสถิติแอสซิสต์สูงสุดในฤดูกาลที่แล้ว


แต่เหมือนมีกรรม แม้ตอร์เรส ศูนย์หน้าคนก่อนไม่มีลักษณะการจบสกอร์ดีแบบที่ซัวเรสเป็นในตอนนี้ แต่ตอร์เรสก็ไมมีจังหวะการเล่นที่ไม่สะอาดเหมือนกับซัวเรส(อย่างดีก็แค่พุ่งล้มนิดๆหน่อยๆเท่านั้น)   ซัวเรสมีทั้งพุ่งล้มบ้าง ใช้มือบ้าง(ในฟุตบอลโลก2010)  และการอัดผู้เล่นกองหลังที่คอยมาปั่นป่วนการทำสกอร์ของเขา แบบไม่เหมือนใคร ไม่เตะขา ไม่โดดถีบยอดอก แต่เด่นๆคือการกัด หรือBiteผู้เล่นนั่นเอง

การกัดของหลุยส์ ซัวเรสเท่าที่มีการบันทึกเอาไว้จริงๆจังๆนั้น พบว่าถึงตอนนี้ มีด้วยกัน3ครั้ง เป็นกัดกองกลางหนึ่งครั้ง คือ ออตมาน บัคคัล นักเตะพีเอสวี ไอล์ดโฮลเฟ่น(ขณะที่เขาเป็นศูนย์หน้าอาแจ็กส์)ในปี2010 โดนแบนยาว7นัด ก่อนที่สโมสรลิเวอร์พูลจะซื้อตัวมาเล่นในต้นปี2011
ครั้งที่สอง ในฤดูกาล2012-13 ในเกมระหว่างลิเวอร์พูลกับเชลซี หวยนั้นออกไปที่กองหลังชาวเซิร์บ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช   ซึ่งในตอนนั้นกรรมการไม่เห็นและมาลงโทษแบนยาว10นัดในภายหลัง(ทำให้ซัวเรสอยู่ไปจนจบเกมและยังอุส่าห์ทำประตูได้อีกในช่วงท้าย เสมอกัน2-2)
ก่อนที่เขาจะมาระเบิดฟอร์มเปรี้ยงปร้างในฤดูกาลถัดมา เป็นเจ้าของรางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ในท้ายสุด
และครั้งล่าสุด ในฟุตบอลโลก2014ที่บราซิลนี่เอง นัดชี้ชะตาหาทีมเข้ารอบ16ทีมสุดท้ายระหว่างอุรุกวัยทีมชาติเขากับทีมอิตาลี  หวยนั้นไปออกที่กองหลังจอร์โจ้ คิเอลลินี่ ซึ่งหลังจากการกัดไปไม่กีี่นาที อุรุกวัยก็สามารถเขี่ยอิตาลีตกรอบได้ จากลูกเตะมุม และโหม่งเข้าไปโดยเดียโก โกดินเป็นลูกนำชัย แต่หลังจากนั้น ฟีฟ่านำเรื่องของซัวเรสมาสอบสวน ในที่สุดศูนย์หน้าจอมกัดคนนี้ก็โดนโทษแบนยาวอีก4เดือน ถูกปรับและห้ามยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลอีกเลยในระหว่างนี้
แต่ระหว่างนี้ หลุยส์ ซัวเรสก็ถูกสโมสรบาร์เซโลน่ามาซื้อตัวไปอีก เหมือนครั้นกับลิเวอร์พูลไม่มีผิด
 นักจิตวิทยา พากันวิเคราะห์พฤติกรรมการกัดของซัวเรสไปหลายวิเคราะห์  รวมไปถึงอดีตนักเตะดังๆอย่างโอลิเวอร์ คานส์ดียโก มาราโดน่าเป็นต้น บางทีก็ว่ามันอาจเป็นการระบายความเครียด กดดันของเขาในระหว่างเกมที่มัน"สำคัญ"   ซึ่งนักเตะหลายคนเองก็เป็น  นักจิตวิทยาบางท่านบอกว่า มันอาจมาจากพื้นฐานครอบครัวของเขาในวัยเด็กซึ่งบกพร่อง ทำให้เขาขาดความอบอุ่น (พ่อแม่ของเขาหย่าร้างกันตั้งแต่เด็ก) บ้างก็ว่าเขาเป็นโรคสมาธิสั้น ประมาณอยู่ไม่สุขงี้
 
หลุยส์  ซัวเรสมักทำช็อตมหัศจรรย์ๆให้แฟนเดอะ ค็อปได้อึ้งเสมอๆ แม้ว่าบางทีจะเหมือนโอเวอร์มากไปจนมีบ้างที่คนจะไม่ชอบในพฤติกรรมตุกติกของเขา แต่แฟนๆก็ชอบเขาหลายคนใช่ไหมล่ะครับ???แน่นอนว่า เขาเป็นศูนย์หน้าที่พึ่งพาได้ พลิกสถานการณ์เกมได้ และเชื่อว่าเคนนี่ ดัลกริช คงคิดว่าตนคิดถูกแล้วที่เขาให้สวมเบอร์7เบอร์ของเขาในอดีต
ก็เพราะว่า ตอนนี้ หลุยส์ ซัวเรสได้กลายเป็นตำนานอีกคนหนึ่งของลิเวอร์พูลไปแล้ว  การันตีด้วยสถิติมากมายในซีซั่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรางวัลดาวซัลโวและแอสซิสต์สูงสุด ได้รางวัลนักเตะพีเอฟเอของอังกฤษ  และที่สำคัญรางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป(ครองร่วมกับโรนัลโด้ของเรอัล มาดริดเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนที่สองต่อจากเอียน รัชที่ได้ในปี1983-84)

อันดับ ชื่อ สโมสร ประตู[1]
1 อุรุกวัย ลุยส์ ซัวเรซ ลิเวอร์พูล 31
2 อังกฤษ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ลิเวอร์พูล 21
3 โกตดิวัวร์ ยาย่า ตูเร แมนเชสเตอร์ ซิตี 20
4 อาร์เจนตินา เซร์คีโอ อะกูเอโร แมนเชสเตอร์ ซิตี 17
อังกฤษ เวย์น รูนีย์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
6 โกตดิวัวร์ วิลฟรีด โบนี สวอนซี ซิตี 16
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เอดิน เจโก แมนเชสเตอร์ ซิตี
ฝรั่งเศส ออลีวีเย ฌีรู อาร์เซนอล
9 เบลเยียม โรเมลู ลูกากู เอฟเวอร์ตัน 15
อังกฤษ เจย์ โรดรีเกซ เซาแทมป์ตัน




ท้ายนี้  ผมในฐานะแฟนลิเวอร์พูลคนนึง ก็อยากอวยพรให้ศูนย์หน้าจอมกัดคนนี้  ไปได้ดิบได้ดีในสเปน ไม่อยากฟังข่าวว่าไปกัดใครเขาอีก ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา เขาทำหน้าที่ของเขาได้อย่างดี แฟนเดอะค็อปต้องขอบคุณเขา ผมขอเป็นตัวแทนคนพวกนั้นขอบคุณเขาก็แล้วกัน






 

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We will remember you!!!!(7)

ทีมชาติอุรุกวัย

ฟุตบอลโลก2010

สามารถทำสกอร์ได้สามประตูตลอดทั้งทัวร์นาเม้นท์  และมี่ทำส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้อุรุกวัยผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศได้(ซึ่งสุดท้ายก็ต้องไปแพ้เยอรมันในนัดชิงที่สามในเวลาต่อมา)

 

กลุ่ม A

ทีม
    
แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ ได้ เสีย ต่าง แต้ม
ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย 3 2 1 0 4 0 +4 7
ธงชาติเม็กซิโก เม็กซิโก 3 1 1 1 3 2 +1 4
ธงชาติแอฟริกาใต้ แอฟริกาใต้ 3 1 1 1 3 5 −2 4
ธงชาติฝรั่งเศส ฝรั่งเศส 3 0 1 2 1 4 −3 1


ฟุตบอลโลก 2014

ทีมชาติอุรุกวัยได้เรียกตัว ลุยส์ ซัวเรซ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ก็ตาม ในรอบแรกนัดที่สาม ที่อุรุกวัยพบกับอิตาลี ลุยส์ ซัวเรซ สร้างเรื่องฮือฮาขึ้นมาเมื่อเป็นฝ่ายไปกัดไหล่ของ จอร์โจ กีเอลลีนี กองหลังของอิตาลี ซึ่งสถานการณ์บังคับให้อุรุกวัยต้องชนะอิตาลีให้ได้เท่านั้น จึงจะผ่านเข้ารอบไปได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกรรมการจะไม่เห็น แต่ทว่าสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ก็มีบทลงโทษย้อนหลัง โดยให้ซัวเรซต้องงดเล่นให้กับทีมชาติเป็นเวลานานถึง 9 นัด

กลุ่มดี

ทีมชาติ แข่ง ชนะ เสมอ แพ้ ได้ เสีย +/- คะแนน
ธงชาติคอสตาริกา คอสตาริกา 3 2 1 0 4 1 +3 7
ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย 3 2 0 1 4 4 0 6
ธงชาติอิตาลี อิตาลี 3 1 0 2 2 3 -1 3
ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ 3 0 1 2 2 4 -2 1
และยังห้ามเล่นในระดับสโมสรอีก 4 เดือน และยังสั่งปรับซัวเรซอีกเป็นจำนวนเงิน 3.6 ล้านบาท[32]
ซึ่งก่อนหน้านั้นซัวเรซเองก็มีพฤติกรรมเช่นนี้มาแล้วเมื่อครั้งยังเล่น อยู่ในเอเรอดีวีซี หรือลีกของเนเธอร์แลนด์ กอรปกับฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ในรอบสี่ทีมสุดท้าย ซัวเรซก็เป็นฝ่ายใช้มือปัดลูกฟุตบอลที่กำลังจะเข้าประตูของทีมกานา ทำให้อุรุกวัยเสียจุดโทษแต่ทว่า ฝ่ายกานายิงไม่เข้า

เกียรติประวัติ

ระดับสโมสร

นาซีโอนัล
อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม
  • แชมป์เอเรดิวีซี่ ฮอลแลนด์ (1): 2010-11
  • แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ (1): 2009-10
ลิเวอร์พูล

รางวัลส่วนตัว

ซัวเรซ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของ โคปาอเมริกา 2011
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1): 2013–14
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (1): 2013–14
  • รองเท้าทองคำของยุโรป (1): 2013–14
  • Barclays Player of the Season (1): 2013–14
  • นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล (1): 2013
  • ผู้เล่นแห่งปีของเอเรดิวีซี่ (1): 2009–10
  • ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (2): 2012–13, 2013–14
  • Premier League Player of the Month (2): ธันวาคม 2013, มีนาคม 2014
  • Premier League Golden Boot (1): 2013–14
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 10 (1): 2012–13
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 20 (2): 2012–13, 2013–14
  • Premier League Golden Boot Landmark Award 30 (1): 2013–14
  • เอเรดิวีซี่รองเท้าทองคำ (1): 2009–10[36]
  • เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด (1): 2009–10
  •  
  • โคปาอเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน (1): 2011
  • ผู้เล่นแห่งปีของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม (2): 2008–09, 2009–10
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของอายักซ์ อัมสเตอร์ดัม (2): 2008–09[37], 2009–10[38]
  • Liverpool FC Player of the Year (2): 2012–13, 2013–14
  • Liverpool Players' Player of the Year (1): 2013–14
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล (3): 2011–12, 2012–13, 2013–14
  • Liverpool Goal of the Season (2): (2012–13: เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2012), (2013–14: ประตูที่ 1 เจอกับ นอริชซิตี ในวันที่ 4 ธันวาคม 2013)
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month (14): มีนาคม 2011, พฤษภาคม 2011, สิงหาคม 2011, กันยายน 2011, ตุลาคม 2011, เมษายน 2012, กันยายน 2012, ตุลาคม 2012, ธันวาคม 2012, กุมภาพันธ์ 2013, ตุลาคม 2013, พฤศจิกายน 2013, ธันวาคม 2013, มกราคม 2014

ตำนานสตาร์ลิเวอร์พูล2013-14/Luis Suarez/We will remember you!!!(6)

ฤดูกาล 2013-14      ฤดูกาลที่น่าจดจำ


ลุยส์ ซัวเรซ โดนแบน 6 นัดแรก จากกรณีกัดแขน อีวานอวิช เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ต่อมา ในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากพ้นโทษแบน 10 นัด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ในลีกคัพ รอบ 3 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็เป็นฝ่ายแพ้ไป 0-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องตกรอบ ลีกคัพ ไปในที่สุด ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกนัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ สเตเดียมออฟไลต์ เจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่ เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2 ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 4 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 4-1 ต่อมา ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ฟูลัม 4-0 ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสันพาร์ก 3-3 ต่อมา ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 5 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 4 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ นอริชซิตี 5-1 ทำให้ ซัวเรซ สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ทำแฮตทริกใส่คู่ต่อสู้ทีมเดียวกันได้ถึงสามครั้ง ต่อมา ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 4-1 ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ลิเวอร์พูล แทน สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ไม่ได้ลงสนามและได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ ไวต์ฮาร์ตเลน 5-0 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาพันธ์ผู้สนับสนุนกีฬาฟุตบอล หรือ FSF Award โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่เอมิเรตส์ สเตเดียม สนามของอาร์เซนอล[24] ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้รับการต่อสัญญาจากสโมสรออกไปอีก จนถึง ปี 2018 และรับค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของประวัติ ศาสตร์ของสโมสร ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3-1 ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 10 ประตูในเดือนเดียว ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนธันวาคม ของ พรีเมียร์ลีก โดยยิงได้ 10 ประตูจาก 7 นัด
ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2014 นัดแรกของปี 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ฮัลล์ซิตี 2-0 ต่อมา ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่ บริแทนเนียสเตเดียม 5-3 ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 23 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0 ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก และทำประตูที่ 24 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่ เซนต์แมรีส์สเตเดียม 3-0 ต่อมา ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 25 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด 3-0 ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริกที่ 6 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล โดย ซัวเรซ ได้ยิง 3 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่ คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม 6-3 ต่อมา ในวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 29 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-0 ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ ซัวเรซ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนมีนาคม ของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด[25] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ ได้ทำประตูที่ 30 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่ แคร์โรว์โรด 3-2 ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรลิเวอร์พูล ที่ยิงประตูครบ 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว ต่อจาก เอียน รัช ที่ทำได้ในปี 1987 และเป็นนักเตะคนที่ 7 ที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกครบ 30 ประตู ในฤดูกาลเดียว ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ประจำฤดูกาล 2013-14 ส่งผลให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะจากทวีปอเมริกาใต้คนแรกที่ได้รางวัลนี้ไปครอง และเป็นนักเตะคนที่ 6 ของ ลิเวอร์พูล ที่ได้รับรางวัลนี้[26] ต่อมา ซัวเรซ ได้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (เอฟดับเบิ้ลยูเอ) ไปอีกหนึ่งรางวัล ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ เซลเฮิสต์พาร์ก เจอกับ คริสตัลพาเลซ ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ซัวเรซ ได้ยิงประตูให้ ลิเวอร์พูล ออกนำ 3-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล โดนตีเสมอในช่วงท้าย ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 3-3 หลังจบเกม ซัวเรซ ก้มหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง ทำให้ โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล เหลือน้อยมาก ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ซัวเรซ คว้าสามรางวัลของสโมสรลิเวอร์พูล ได้แก่ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล, รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟนๆ และ รางวัลประตูยอดเยี่ยมแห่งปี จากลูกวอลเลย์ระยะ 40 หลา ในเกมกับ นอริชซิตี เมื่อเดือนธันวาคม จากงานประกาศรางวัล Players’ Awards Dinner ปี 2014 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ ศูนย์ประชุม Liverpool ACC Conference Centre[27] ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดรัง แอนฟีลด์ เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่ เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย จบฤดูกาล ซัวเรซ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 31 ประตู จาก 33 นัด[28] ทำให้ ซัวเรซ คว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก และ รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2013-14 ไปครอง[29] และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[30] รวมทั้ง ซัวเรซ ได้รางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป ร่วมกับ คริสเตียโน โรนัลโด นักเตะของ เรอัลมาดริด ทำให้ ซัวเรซ เป็นนักเตะคนที่ 2 ของลิเวอร์พูล ที่ได้รางวัลนี้ต่อจาก เอียน รัช ในฤดูกาล 1983-84[31]