วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/Birt Patenaude/นักฟุตบอลอเมริกันในยุค1930

Bertrand "Bert" Arthur Patenaude ( / ˈ p æ t n d / ; November 4, 1909 – November 4, 1974) was an American soccer player. Although earlier disputed, he is now officially credited by FIFA as the scorer of the first hat-trick in World Cup history. He is a member of the United States Soccer Hall of Fame

Club career

In 1928, Patenaude began his professional career with Philadelphia Field Club of the American Soccer League . In his eight games with Philadelphia, he scored six goals. Despite this productivity, he moved to J&P Coats for one league game, then moved again to his hometown Fall River Marksmen . He remained in Fall River until the summer of 1930, winning the 1930 National Challenge Cup before moving to the Newark Americans . [ 1 ] He scored seven goals in five games at the start of the 1930-1931 season, but found himself back with the Marksmen for the end of the season. In 1931, Fall River merged with the New York Soccer Club to form the New York Yankees . However, Fall River had already begun playing National Cup games. Therefore, while the Yankees won the National Cup, the records show the winner as Fall River. In the cup championship, Patenaude scored five goals in the Yankees' 6-2 first game victory over Chicago's Bricklayers and Masons FC [ 1 ] Patenaude remaine
with the Yankees through the spring of 1931. In the fall of 1931, he played with the New York Giants .
The ASL was collapsing by the fall of 1931 and records are incomplete, but it appears that in 1933, Patenaude signed with the Philadelphia German-Americans of the second American Soccer League. In 1934, Patenaude moved west to sign with St. Louis Central Breweries of the St. Louis Soccer League , at that point the only professional league in the country. Central Breweries, stocked with future Hall of Famers, won the league and 1935 National Challenge Cup titles. [ 1 ] In 1935, Central Breweries left the league, became an independent team and lost the sponsorship of the brewery. Patenaude remained with the team, now called St. Louis Shamrocks . [ 2 ] In 1936, the Shamrocks went to the National Cup final before falling to the Philadelphia German-Americans. [ 1 ] In 1936, Patena
 ude returned east where he played with Philadelphia Passon of the ASL.

National team

In 1930, Patenaude was called into the US national team for the 1930 FIFA World Cup . In that cup, he scored a goal in the US opener against Belgium , then a hat trick in the 3-0 victory over Paraguay . Following the US elimination by Argentina in the semifinals, the US went on an exhibition tour of South America, ending with a 4-3 loss to Brazil in which Patenaude scored his sixth and final US goal and never again appeared with the national setup.
Patenaude's record of four goals in one World Cup remains the standard for an American player. Additionally, his total stood as the all-time career mark for an American player for eighty years, until it was broken by Landon Donovan during the 2010 FIFA World Cup .
                                 




World Cup hat trick

Patenaude's historic day came on July 17, 1930, as the United States played Paraguay in the inaugural World Cup . Patenaude scored the opening goal in the tenth minute. A second goal in the fifteenth minute had been credited several different ways: as an own goal by Aurelio González (according to the RSSSF), a regular goal by the US's Tom Florie (according to the official FIFA match record), or as Patenaude's second goal (according to the United States Soccer Federation ). A fiftieth minute goal by Patenaude gave the US a 3-0 win over the South Americans.
The dispute and discrepancies over the second goal had led to confusion over the first-ever World Cup hat-trick, as Argentina's Guillermo Stábile scored one against Mexico just two days after the USA-Paraguay game. However, FIFA announced on November 10, 2006, that Patenaude was indeed the first person to score a hat-trick in World Cup play, confirming that he scored all three goals. [ 3 ]
Patenaude was inducted into the US Soccer Hall of Fame in 1971. He died in Fall River on his sixty-fifth birthday.
Personal information
Full name Bertrand Arthur Patenaude
Date of birth November 4, 1909
Place of birth Fall River, Massachusetts , United States
Date of death November 4, 1974 (aged 65)
Place of death Fall River, Massachusetts , United States
Playing position Forward














Senior career*
Years Team Apps (Gls)
1928 Philadelphia Field Club 8 (6)
1928 J&P Coats 1 (0)
1928-1930 Fall River Marksmen 62 (57)
1930 Newark Americans 5 (7)
1930 Fall River Marksmen 18 (15)
1931 New York Yankees 15 (9)
1931 New York Giants 16 (25)
1933-1934 Philadelphia German-Americans

1934-1935 St. Louis Central Breweries

1935-1936 St. Louis Shamrocks           

1936 Philadelphia Passon

National team
1930 United States 4 (6)
* Senior club appearances and goals counted for the domestic league only.
† Appearances (Goals).

































ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/เลฟ ยาซิน/ผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์

เลฟ อิวาโนวิช ยาชิน (รัสเซีย: Лев Ива́нович Я́шин; 22 ตุลาคม ค.ศ. 1929 — 20 มีนาคม ค.ศ. 1990) เจ้าของฉายา "แมงมุมดำ" หรือ "ไอ้ปลาหมึกยักษ์ดำ" เป็นนักฟุตบอลผู้รักษาประตูชาวโซเวียตรัสเซีย ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์กีฬาฟุตบอล[2] ยาชินมีชื่อเสียงอย่างมากจากการปฏิกิริยาการป้องกันลูกอันน่าทึ่ง และการคิดค้นแนวคิดเด็ดขาดสำหรับการป้องกันประตู ยาชินได้รับเลือกให้เป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมยุโรป‎ประจำคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ[3] และเป็นผู้รักษาประตูคนเดียวที่ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป หรือ บัลลงดอร์ ในปี ค.ศ. 1963 อีกด้วย[4]
นอกจากนี้แล้ว ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1994 จนถึง ฟุตบอลโลก 2010 มีรางวัลยาชิน (Yashin Award) มอบให้แก่ผู้รักษาประตู จนกระทั่งฟุตบอลโลก 2010 จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็น รางวัลถุงมือทองคำ (Golden Glove Award)[4]
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เลฟ อิวาโนวิช ยาชิน
วันเกิด 22 ตุลาคม ค.ศ. 1929
สถานที่เกิด มอสโก สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย, สหภาพโซเวียต
วันเสียชีวิต 20 มีนาคม ค.ศ. 1990 (60 ปี)
สถานที่เสียชีวิต มอสโก สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย, สหภาพโซเวียต
ส่วนสูง 1.89 ม. (6 ฟุต 2 นิ้ว)
ตำแหน่ง ผู้รักษาประตู         
สโมสรอาชีพ*
ปี สโมสร ลงเล่น (ประตู)
1949-1971 ดีนาโมมอสโก 326 (0[1])
ทีมชาติ
1954-1970 ฟุตบอลทีมชาติสหภาพโซเวียต 78 (0)

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/หลุยส์ ฟิโก้/กองกลางหน้าคมแห่งแดนฝอยทอง

ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม : หลุยส์ เฟลิเป้ มาไดร่า คาไรโร่ ฟิโก้(ลูอิช ฟิกู)
วันเกิด : 4 พฤศจิกายน 1972
สถานที่เกิด : อัลมาดา, โปรตุเกส
สัญชาติ :  โปรตุเกส
ส่วนสูง : 1.80 เมตร (5 ฟุต 11 นิ้ว)
สโมสร : อินเตอร์ มิลาน
ตำแหน่ง : ปีกขวา
เบอร์เสื้อ : 7
หลุยส์ ฟิโก้ คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ดีที่สุดของโลกในรอบสิบปีที่ผ่านมา เขาคือเจ้าของตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมยุโรปในปี 2000 และผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าในปี 2001 ด้วยความสามารถในการลากเลื้อย และการผ่านบอลอย่างสุดเฉียบ รวมถึงการทำสกอร์ในแถวสองได้ดี
เริ่มต้นนักฟุตบอลอาชีพ
figo
ฟิโก้ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ทีมดังในประเทศบ้านเกิด และถูกเรียกตัวติดทีมชาติเป็นครั้งแรกในปี 1991 ก่อนหน้านั้นเขาเป็นสมาชิกของทีมเยาวชนโปรตุเกสชุดที่คว้าแชมป์โลกชุดอายต่ำ กว่า 20 ปีร่วมกับเพื่อนร่วม "โกลเด้น เจเนอเรชั่น" อย่าง รุย คอสต้า, เจา ปินโต และ เปาโล ซูซ่า
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตนักฟุตบอลของ ฟิโก้ เกิดขึ้นในปี 1995 เขาได้รับความสนใจจากบรรดาทีมชั้นนำในยุโรปแต่เรื่องยุ่งยากก็เกิดขึ้น เมื่อเขาไปเซ็นสัญญาซ้ำซ้อนกับ ยูเวนตุส และ ปาร์ม่า พร้อมๆ กันทำให้ให้ถูกสั่งลงโทษไม่ให้ย้ายไปเล่นในอิตาลีเป็นเวลาสองปี ส่งผลให้ทีมที่คว้าตัวเพชรเม็ดงามอย่างเขาไปครอบครองก็คือ บาร์เซโลน่า นั่นเอง
ภายใต้การดูแลของ โยฮันส์ ครัฟฟ์ เพียงชั่วเวลาเพียงแค่ 4 ปี ฟิโก้ ก็กลายเป็นนักเตะขวัญใจแฟนบอลแและกัปตันทีมของสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งคาตาลัน โดยเขาร่วมคว้าแชมป์ ลา ลีกา และแชมป์ โคปา เดล เรย์ กับทีมได้อย่างละ 2 สมัย
ฟิโก้ ไม่ได้เป็นเพียงผู้เล่นตำแหน่งปีกชั้นนำเท่านั้น แต่เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกด้วยความสามารถในการเลี้ยงบอล ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ และสถิติจำนวนการเปิดป้อนให้เพื่อนร่วมทีมทำประตู (ฟิโก้ เคยกล่าวว่าเขาชื่นชอบที่จะเป็นผู้ผ่านบอลให้เพื่อนทำประตูมากกว่ายิงเอง)
ในปี 2000 ชื่อของเขาก็กลายเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลสเปน เมื่อ รีล มาดริด จ่ายเงินถึง 56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2,240 ล้านบาท) และนั่นทำให้เขาเป็นนักเตะที่โด่งดังที่สุดเท่าที่เคยมีการโยกย้ายระหว่าง สโมสรทั้งสอง
figo
นอกจากนี้มันยังส่งผลให้เกิดความเกลียดชัง อย่างบ้าคลั่งจากแฟนบอลของ บาร์ซ่า ที่มีต่อตัว ฟิโก้ เองด้วย จากอดีตปีกขวัญใจอันดับหนึ่ง ฟิโก้ กลับกลายเป็นคนที่แฟนบอลในถิ่น คัมป์ นู เกลียดชังมากที่สุดและถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศและเห็นแก่เงิน
หนึ่งในภาพเหตุการณ์ที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก ก็คือในระหว่างเกม ยูโร 2004 รอบชิงชนะเลิศที่ ฟิโก้ ลงเล่นให้โปรตุเกสพบกับกรีซ แฟนบอลคนหนึ่งได้วิ่งลงมาในสนามตรงมาหา ฟิโก้ และขว้างผ้าผืนหนึ่งมาที่ตัวเขา ผ้าผืนดังกล่าวก็คือธงเชียร์ของสโมสรบาร์เซโลน่านั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การย้ายทีมของเขาจะเต็มไปด้วยเรื่องราวอื้อฉาวที่ตามมามากมาย แต่ ฟิโก้ ก็แสดงให้เห็นว่านั่นไม่ใช่การตัดสินใจผิด เมื่อเขาร่วมคว้าแชมป์ได้กับทีมราชันชุดขาวมากมายหลายรายการ โดยเฉพาะในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลที่เขารอคอยมานาน
นอกจากนี้เขายังมีช่วงปีที่ดีที่สุดเมื่อ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมยุโรป และรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่ามาครองในปี 2000 และ 2001 ตามลำดับ ฟิโก้ เล่นอยู่กับ รีล มาดริด จนกระทั่งในปี 2005 เขาก็ย้ายไปเล่นในอิตาลีกับ อินเตอร์ มิลาน 
figo
2005-ปัจจุบัน : อินเตอร์ มิลาน
ในฤดูกาลแรก กับ อินเตอร์ มิลาน ฟิโก้ ลงสนามไปทั้งสิ้น 34 นัด และช่วยให้ทีมปิดฉากซีซั่น ด้วยการรั้งตำแหน่งอันดับ 3 ในศึกกัลโช่ เซเรีย อา อย่างไรก็ตาม ในเวลาถัดมา "งูใหญ่" ก็ถูกประกาศให้ความแชมป์ สคูเต็ตโต้ แทนที่ แชมป์ในปีนั้น อย่าง ยูเวนตุส  หลังพบว่า ทีม "ม้าลาย" ทำการตกแต่งผลการแข่งขัน และโดนปรับตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี เช่นเดียวกับ อันดับ 2 อย่าง เอซี มิลาน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงถูกตัดแต้ม 30 คะแนน
ในปี 2006-2007 ฟิโก้ ลงเล่นให้ อินเตอร์ ไป 32 นัด ทำได้ 2 ประตู แต่นั่นก็ดีพอที่จะช่วยให้ทีม ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ ได้อย่างยิ่งใหญ่แบบไร้ข้อกังขา ด้วยการทำแต้มทิ้งห่างทีมอันดับ 2 ชนิดไม่เห็นฝุ่น พร้อมกับทำ
 สถิติชนะรวดติดต่อกันถึง 17 นัดอีกด้วย
ในเดือนธันวาคม 2006 ฟิโก้ ตกเป็นข่าวว่าย้ายไปเล่นให้กับ ทีม อัล-อัตติฮัด ทีมดังของ ซาอุดิอาระเบีย  โดยทั้งสองฝ่ายจ่อที่จะบรรลุข้อตกลงกันอยู่แล้ว แต่ ทุกอย่างก็ล้มเลิกกลางคัน เมื่อ ฟิโก้ เปลี่ยนใจที่จะยังคงค้าแข้งกับ อินเตอร์ ต่อไป จนหมดสัญญาในปี 2007-2008
เข้าสู่ฤดูกาลใหม่ ฟิโก้ ยังคงตกเป็นข่าวกับทีม อัล-อัตติฮัด เช่นเดิม แต่ทุกอย่างก็ยังไม่มีความชัดเจน แต่จากรายงานล่าสุด ได้ออกมาระบุว่า ฟิโก้ เริ่มมีความสนใจที่จะย้ายไปค้าแข้งในเมเจอร์ลีกสหรัฐฯ หลังหมดสัญญากับทีม "งูใหญ่" ในวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 2008 อย่างไรก็ตาม ฟิโก้ ก็ได้ออกมาเผยว่า เขาจะยังคงฝากอนาคตอยู่กับ อินเตอร์ ต่อไป 

figo
กับทีมชาติโปรตุเกสนั้น นับตั้งแต่ถูกเรียกเข้าสู่ทีมด้วยวัยเพียง 19 ปี ฟิโก้ ก็กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมเรื่อยมา และนำทีมลงเล่นในทัวร์นาเมนต์สำคัญทั้งใน ยูโร 96, ยูโร 2000 จนมาถึงศึก ยูโร 2004 ซึ่งโปรตุเกสลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลของตัวเอง
และในวัย 32 ปี ฟิโก้ ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับหน้าที่กัปตันทีม ก็นำทีมชาติโปรตุเกสฝ่าฟันกับแรงกดดันที่ต้องแบกรับไว้มากมายผ่านเข้าไปเล่น ในรอบชิงชนะเลิศได้ในที่สุด ทว่าความผิดหวังจากการพ่ายแพ้ต่อทีมชาติกรีซในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้ ฟิโก้ ตัดสินใจประกาศอำลาทีมชาติหลังการแข่งขันจบลง
หนึ่งปีหลังจากนั้น เมื่อ ฟิโก้ เริ่มไม่มีความสุขในการลงเล่นกับทีมต้นสังกัด (รีล มาดริด) ทำให้เขาหวนกลับมานึกถึงการรับใช้ชาติอีกครั้ง และในที่สุด หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ก็เรียกเขาคืนสู่ทีมชาติเพื่อช่วยทำศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ซึ่งเทรนเนอร์ชาวบราซิลให้ ความเห็นว่านักเตะที่ยิ่งใหญ่อย่าง ฟิโก้ ไม่ได้มีดีแค่ฝีเท้าเท่านั้น แต่คุณสมบัติความเป็นผู้นำและประสบการณ์อื่นๆ ที่เขาจะมอบให้กับรุ่นน้องคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทีมชาติโปรตุเกสประสบ ความสำเร็จได้
และ ฟิโก้ ก็ไม่ได้ทำให้แฟนบอลที่เฝ้ารอคอยผิดหวัง เขากลับมาช่วยให้ทีมผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปเล่นที่ฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมันได้ด้วยสถิติอันยอดเยี่ยม โดยในการกลับมาลงสนาม ทั้ง 8 นัดของเขานั้น ทีมฝอยทองคว้าชัยชนะได้ถึง 7 เกม เสมอไปเพียง 1 เกมเท่านั้น
ฟิโก้ สวมปลอกแขนกัปตันทีม นำทัพ โปรตุเกส ลงทำศึกฟุตบอลโลก 2006 และเขาก็มีส่วนสำคัญพาทีมผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ ก่อนที่จะหยุดเส้นทางไว้แค่นั้น หลังจากพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส ไปอย่างน่าเสียดาย 0-1 และในรอบชิงที่ 3 ทีมก็ต้องไปพ่ายให้ักับ เยอรมัน 0-2 อย่างไรก็ตาม นี่ก็ถือเป็น เลยผลงานที่ดีที่สุึดของโปรตุเกสในทัวร์นาเม้นต์ฟุตบอลโลก นับตั้งแต่ปี 196ุ6ทีเดียว
ขีวิตส่วนตัว
ฟิโก้ แต่งงานกับ เฮเลน สเวดิน นางแบบสาวชาวสวีดิช โดยทั้งคู่ พบกับที่ งานแสดงแฟนชั่นโชว์ที่ ฟลาเมงโก้ และตอนนี้ ทั้ง ฟิโก้ และ เฮเลน มีลูกสาวด้วยกัน 3 คน ได้แก่ดาเนียลลา (เกิด มีนาคม 1999), มาร์ติน่า (เกิดเมษายน 2002) และ สเตลล่า (เกิด 9 ธันวาคม 2004) อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังมีแผนที่จะปั้มลูกคนที่ 4 อีกด้วย
เกียรติยศที่เคยได้รับ
ระดับสโมสร

สปอร์ติ้ง ลิสบอน
คัพ ออฟ โปรตุเกส : 1995
บาร์เซโลน่า
ลา ลีกา : 1998,1999
โคปา เดล เรย์ :  1997, 1998
ซูเปอร์ โคปา เดอ เอสปันญ่า : 1996
ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ : 1997
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 1997
โคปปา คาตาลันยา : 2000
เรอัล มาดริด
ลา ลีกา : 2001, 2003
ซูเปอร์ โคปา เดอ เอสปันญ่า : 2001, 2003

 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก : 2002
อินเตอร์คอนทิวเน่นทัล คัพ : 2002
ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ : 2002

อินเตอร์ มิลาน
กัลโช เซเรีย อา : 2006, 2007, 2008
โคปปา อิตาเลีย : 2006
อิตาเลียน ซูเปอร์ คัพ : 2005, 2006, 2008

ทีมชาติโปรตุเกส
2006 FIFA World Cup: อันดับ 4
UEFA Euro 2004 : รองแชมป์
FIFA U-20 World Cup - 1989                          

FIFA U-20 World Cup - 1991
รางวัลส่วนตัว
ผู้เล่นชาวยุโรปยอดเยี่ยม 2000
ผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟีฟ่า : 2001, อันดับ 2 : 2000
 นักฟุตบอลโปรตุเกสยอดเยี่ยม : 1995, 1996, 1997, 1998, 1999, 2000
บอลทองคำ(ของชาวโปรตุเกส) : 1994
ติดยูฟ่าทีมออฟเดอะเยียร์ : 2003
ติดทีมออลสตาร์ฟุตบอลโลก : 2006

ตำนานซุปเปอร์สตาร์บอลโลก/อาห์น จุง ฮวาน/กองหน้าแห่งแดนโสม

"อาห์น จุง-ฮวาน"
      อดีตฮีโร่กองหน้าทีมชาติเกาหลีใต้ ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ด้วยวัย 36 ปี โดยให้     โดยให้เหตุผลว่าต้องการทุ่มเทเวลาไปให้ครอบครัวมากขึ้น...

ชื่อ-นามสกุล : อาห์น จุง-ฮวาน / Ahn Jung-Hwan
วันเดือนปีเกิด : วันที่ 27 มกราคม 1976
สถานที่เกิด : ปาจู, กยองกิ, ประเทศเกาหลีใต้
สัญชาติ : เกาหลีใต้
ส่วนสูง : 178 เซนติเมตร
กีฬา : ฟุตบอล
ตำแหน่ง : กองหน้า

เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ
-เริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพกับทีม บูซาน ไอคอนส์ ในลีกบ้านเกิดเกาหลีใต้เมื่อปี 2000
-ถูก เปรูจา ในกัลโช ซีรีเอ อิตาลี ยืมตัวไปร่วมทีมในฤดูกาล 2000-01
-ปี 2002 อาห์น ยิงประตูโกลเด้นโกลให้ทีมชาติเกาหลีใต้ของเขา พลิกล็อกเอาชนะอิตาลี 2-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลโลก ก่อนกรุยทางคว้าอันดับ 4 มาครอง
-หลังจบฟุตบอลโลก อาห์น ถูก ลูเซียโน กาอุชชี ประธานสโมสรจอมเพี้ยนของ เปรูจา ไล่ออกจากทีม
-หลังออกจากเปรูจา อาห์นย้ายไปเล่นที่ญี่ปุ่นกับทีม ชิมิสึ เอสพัลส์ โดยอยู่กับทีมหนึ่งฤดูกาล ก่อนย้ายไปทีม โยโกฮามา เอฟ. มารินอส ในปี 2003     -หลังประสบความสำเร็จในการเล่นที่ญี่ปุ่น เดือนก.ค. ปี 2005 อาห์นย้ายไปเล่นที่ยุโรปอีกครั้งกับทีม เม็ตซ์ ในฝรั่งเศส    -ม.ค. 2006 อาห์น ถูกเชิญไปทดสอบฝีเท้าของ แบล็กเบิร์น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนที่ต่อมาเดือนก.พ. เขาจะเซ็นสัญญากับ ดุ๊ยส์บวร์ก ในลีกเยอรมนีเป็นเวลา 17 เดือน
-ส.ค. 2006 อาห์น ถูก ดุ๊ยส์บวร์ก ปล่อยตัวออกจากทีม ทำให้เขาตัดสินใจย้ายกลับไปเล่นในเกาหลีใต้กับ ซูวอน ซัมซุง บลูวิงส์ ด้วยสัญญา 1 ป่ี
-อาห์น ติดทีมชาติเกาหลีใต้ไปทำศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี แถมนัดแรกยังเป็นซูเปอร์ซับลงมายิงประตูชัยให้ทีมเอาชนะโตโก 2-1 ด้วย แต่สุดท้ายทีมกลับจอดป้ายเพียงรอบแรกเท่านั้น
-ปี 2008 อาห์น ย้ายกลับไปร่วมทีม บูซาน ไอพาร์ค จนกลับไปติดทีมชาติเกาหลีใต้อีกครั้ง
-ปี 2009 อาห์น ย้ายไปร่วมทีม ต้าเหลียน ไชด์ ในซูเปอร์ลีกจีน
-วันที่ 31 ม.ค. 2012 อาห์น ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ